ไปที่เว็บ_พระไตรปิฏกฉบับอ่าน..

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สมุนไพรผลไม้ชนิดต่างๆ 02


ทุเรียน (
Durion)

สรรพคุณทางยาสมุนไพร

ใบ รสขม เย็นเฝื่อน สรรพคุณ แก้ไข แก้ดีซ่าน ขับพยาธิ และทำให้หนองแห้ง
เนื้อหุ้มเมล็ด รสหวาน ร้อน ทำให้ความร้อนแก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝีแห้ง และขับพยาธิ
เปลือกลูก รสฝาดเฝื่อน สมานแผล แก้น้ำเหลืองเสีย พุพอง แก้ฝี ตาน ซาง คุมธาตุ แก้คางทูม ไล่ยุงและแมลง
ราก รสฝาดขม แก้ไข้ และแก้ท้องร่วง

คุณค่าทางอาหาร

ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีรสชาติความมันอร่อยเป็นที่นิยมบริโภคกันมาก มีคุณค่าทางอาหารมาก มีไขมันสูง นอกจากนั้นทุเรียนก็ยังเป็นพืชเศรษฐกิจทำรายได้เข้าประเทศในแต่ละปีจำนวนมาก ด้วยเหตุที่ว่าไทยได้รับความนิยมสูงมากในเรื่องของรสชาติ
ถึงทุเรียนจะอร่อยมากขนาดไหนมีคุณค่าเพียงใดก็ตามขอสะกิดนิดหนึ่งรับประทานมากไปก็อ้วนได้ง่าย หรือรับประทานทุเรียนเยอะๆ แล้วอาจเกิดอาการร้อนวูบวาบกระสับกระส่าย มีวิธีแก้โดยการรับประทานมังคุดตามไปทันทีเพราะจะช่วยดับร้อนได้ ฝากไว้เป็นเคล็ดลับตามวิธีธรรมชาติรักษาธรรมชาติ
สารอาหารที่ได้ อาทิ ไขมัน แคลเซียมช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา เบื่ออาหาร อีกนั้นมีวิตามินบี 2 ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน วิตามินซี ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด และธาตุอื่นๆ อีกมากมาย

คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม

พลังงาน                  156          แคลอรี่
โปรตีน                    2.1           กรัม
ไขมัน                     3.3           กรัม
เหล็ก                    1.1           มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต         29.6         กรัม
แคลเซียม               29            มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส              34            มิลลิกรัม
วิตามีนบี 1               0.16         มิลลิกรัม
วิตามีนบี 2               0.23         มิลลิกรัม
ไนอะซีน                 2.5           มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน          46            ไมโครกรัม
วิตามินซี                  35            มิลลิกรัม

ที่มา : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว
ทุเรียน
เนื้อของทุเรียน มีสารพวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรต
ไขมันที่ให้พลังงานสูง มีแร่ธาตุ คือ กำมะถัน สรรพคุณ
ของทุเรียนก็คือ ถ้ากินเนื้อบ่อยๆ จะแก้โรคผิวหนังได้
แต่ถ้ากินบ่อยมากเกินไป ก็จะเจ็บคอ เป็นไข้ ตัวร้อน

...................................................................................................................................................
น้อยหน่า  (Custard Apple, Sugar Apple, Sweet Sop)

สรรพคุณทางยาสมุนไพร

ใบน้อยหน่า  นำมาตำให้ละเอียด ทารักษากลากเกลื้อน
ผลน้อยหน่า  ทั้งผลดิบและผลที่แห้งคาต้น แต่ยังไม่สุกมาฝนกับเหล้าใช้ฆ่าเหา ฆ่าเชื้อโรค ใช้แก้โรคท้องร่วง แก้บิด และเป็นยาขับพยาธิ
เมล็ดน้อยหน่า  นำมาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำมันมะพร้าวขยี้ให้ทั่วศีรษะ ใช้รักษาหิด นอกจากนั้นยังใช้สมานแผลและเป็นยาฆ่าแมลง
เปลือกน้อยหน่า  มีสารอัลคาลอยด์อะโนนาซีนใช้เป็นยาสมานแผลและห้ามเลือด

คุณค่าทางอาหาร

น้อยหน่านอกจากจะนำมารับประทานเป็นของหวานแล้วน้อยหน่าเมื่อสุกๆ ยังนำมาผสมทำไอศรีมโดยแกะแต่เนื้อผสมกะทิ และน้ำเชื่อม
ปัจจุบันนี้มีผู้ทดลองผลิตครีมสกัดจากเมล็ดน้อยหน่าเพื่อนำมาฆ่าเหา นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม

น้อยหน่านั้นเป็นผลไม้ได้รสหวานมีแป้งมาก มีวิตามินซีที่ช่วยในการสร้างคอลลาเจน
ช่วยสมานบาดแผล ป้องกันโรคหวัด และน้ำตาลสูง
ใช้เป็นผลไม้และเตรียมน้ำผลไม้

ที่มา : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว
...........................................................................................................................................................
ฝรั่ง (Guava)

สรรพคุณทางยาสมุนไพร

ฝรั่งเป็นผลไม้และเป็นสมุนไพรที่ดีอีกชนิดหนึ่งนอกจากจะทำให้ผิวพรรณงดงามแล้วยังทำให้ร่างกายสดชื่นป้องกันไข้หวัดเป็นอย่างดี
ใบฝรั่ง  ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป นำมาล้างให้สะอาดตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่แล้วนำน้ำมาจิบเป็นยาแก้อาการท้องเสียหรือนำมาเคี้ยวเพื่อระงับกลิ่นปาก นำมาตำใช้พอกบริเวณที่เป็นบาดแผล
เปลือกรากฝรั่ง  นำมาต้มรับประทานเป็นยาแก้ท้องเสียดูดหนองจากแผลช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้น
ผลฝรั่ง  นำมารับประทานแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน

คุณค่าทางอาหาร

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มาก ส่วนมากนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม เพราะดื่มง่ายไม่ต้องเคี้ยว เพียงแค่นำเนื้อฝรั่งสุกผสมน้ำ นำตาลทราย และเกลือป่นและน้ำแข็งทุบละเอียดในอัตราที่เหมาะสม นำไปปั่นก็จะได้น้ำฝรั่งดื่มแก้กระหายทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารดีมาก มีวิตามินซีสูงช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ป้องกันโรคหวัดมากมายทีเดียวมากกว่าผลไม้อื่นๆ แคลเซียมในฝรั่งจะช่วยป้องกันกระดูกเปราะและฟันผุ วิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชาไม่มีแรง วิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม

พลังงาน                34            แคลอรี่
โปรตีน                 0.6           กรัม
ไขมัน                  0.1           กรัม
คาร์โบไฮเดรต         8              กรัม
เส้นใยอาหาร          2.9           กรัม
แคลเซียม              2              มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส              12            มิลลิกรัม
เหล็ก                    0.4           มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน          21            ไมโครกรัม
วิตามีนบี 1               0.05         มิลลิกรัม
วิตามีนบี 2               0.11         มิลลิกรัม
ไนอะซีน                  1.3           มิลลิกรัม
วิตามีนซี                  187          มิลลิกรัม

ที่มา : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว
ฝรั่งใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนังอักเสบ มีผื่นแดง
มีตุ่มพุพอง แสบคัน โดยนำใบฝรั่งมาต้มล้างผิวหนัง
บริเวณนั้น ใบฝรั่งแห้งนำมาต้มกับน้ำแก้โรคบิด และ
ลำไส้อักเสบ ผลฝรั่งที่ยังไม่สุก หรือเปลือกหุ้มลำต้นตากแห้ง
บดผสมกับน้ำผึ้ง นำไปห้ามเลือดจากบาดแผลหรือรอยถูกตี
ฟกซ้ำดำเขียว นอกจากนี้ใบยังช่วยระงับกลิ่นปาก และ
ผลยังช่วยแก้เลือดออกตามไรฟันอีกด้วย



.......................................................................................................................................................
พุทราจีน
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงเลือด บำรุงกำลังที่ดี
และใช้ผสมกับยาสมุนไพร บำรุงส่วนอื่นๆ อีก
นอกจากนี้ยังสามารถลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดแข็งตัว
เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน และเส้นเลือดในสมองแตก
ทั้งยังเป็นยาบำรุงประสาท แก้โรคนอนไม่หลับด้วย

........................................................................................................................................................

มะกอกน้ำ (Spanish plum)

สรรพคุณทางยาสมุนไพร

ใบ  นำมาเคี้ยวรับประทานเป็นยาแก้ท้องเสีย ปวดท้อง
เนื้อในผล  มีรสเปรี้ยวอมฝาด รับประทานทำให้ชุ่มคอ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
เปลือกต้น  มีรสเฝื่อน นำมาชงน้ำรับประทานเป็นยาช่วยฟอกโลหิตหลังคลอด บำรุงธาตุ แก้กระหายน้ำ

คุณค่าทางอาหาร

มะกอกน้ำ เพียงนำผลที่สุกแล้วมารับประทานเป็นผลไม้จิ้มกับพริกเกลือ เชื่อม และนำมาปั่นกับน้ำสะอาด น้ำเชื่อม เกลือป่น น้ำแข็งป่น ตามอัตราส่วนที่เหมาะสมก็จะได้น้ำผลไม้ที่มีรสชาติดีดื่มแก้กระหาย มีสารอาหารที่มากคุณค่า ใช้ได้ทั้งยอดอ่อน ผลสุก ดิบ ใบอ่อน แคลเซียมที่ได้จากมะกอกน้ำจะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส เหล็ก ส่วนวิตามินเอ จะช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา และวิตามินบีมีผลในการสร้างความเจริญเติบโตป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและยังมีธาตุอาหารต่างๆ

คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม

พลังงาน                  46            แคลอรี่
เส้นใย                     16.7         กรัม
แคลเซียม                 49            มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส              80            มิลลิกรัม
เหล็ก                       9.9           มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน          2017        ไมโครกรัม
วิตามีนบีเอ              337          หน่วย
วิตามีนบี 1               0.96         มิลลิกรัม
วิตามีนบี 2               0.22         มิลลิกรัม
ไนอะซีน                   1.9           มิลลิกรัม
วิตามีนซี                  53            มิลลิกรัม

ที่มา : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว

........................................................................................................................................................

มะขาม (Tamarind)

สรรพคุณทางยาสมุนไพร

ใบอ่อนมะขาม นำมาต้มเอาน้ำโขลกศีรษะ แก้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ส่วนใบสดก็นำมาต้มน้ำอาบหลังสตรีคลอดบุตรใช้ผสมกับสมุนไพรอื่น เนื่องจากในใบมะขามสดมีรสเปรี้ยวมีกรดหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าสะอาดขึ้น
ใบและดอก ของมะขามนำมาต้มรับประทาน น้ำช่วยลดความดันโลหิตได้ดีมาก
มะขามเปียก นำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ จนเป็นลูกกลอน แล้วจิ้มเกลือเพียงเล็กน้อย รับประทานหรือกลืนพร้อมกับน้ำสะอาดเป็นยาระบาย ขับเสมหะ
น้ำส้มมะขามเปียก ผสมกับเกลือ ใช้แก้ท้องผูก ใช้แก้พรรดึก โดยการสวนทวาร ใช้พอกตัวได้ โดยผสมกับขมิ้นและน้ำผึ้ง
เมล็ดมะขาม นำที่แก่ได้ที่แล้วนำมาคั่วและกะเทาะเปลือกออกนำมาแช่น้ำที่ผสมเกลือป่นรับประทานเป็นยาขับพยาธิ ส่วนเปลือกที่กะเทาะออกังมีประโยชน์อย่านำไปทิ้ง รับประทานเป็นยาแก้อาเจียน แก้ท้องร่วง เป็นยาสมานธาตุ คุมธาตุ
เส้นฝอย หุ้มเปลือกมะขามหรือเรียกว่า รก ใช้เป็นยาแก้ ประจำเดือนไม่ปกติ ดื่มน้ำมะขามจะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายโดยเฉพาะคนไข้หรือผู้ที่อาศัยในที่ร้อนอบอ้าว และยังช่วยลดอาการกระหายน้ำได้อีกด้วย

  คุณค่าทางอาหาร

มะขามมีคุณค่าวิเศษมากจริงๆ นำมาปรุงอาหารไทยๆ ได้หลายอย่างเพียงแค่นำมะขามที่แก่แล้วมาแกะเอาเมล็ดออกปั้นไว้เป็นก้อนๆ ก็จะได้มะขามเปียกเอาไว้รับประทานได้เป็นปีๆ ลองมาพิจารณากันว่าประโยชน์ที่ได้จากมะขามมีมากมายเพียงใด
มะขามเปียกใช้เป็นเครื่องปรุงในแกงส้ม นำเอามะขามเปียกมาคั้นใส่น้ำแกงส้ม ไม่ว่าจะแกงส้มชนิดใดก็ตาม
มะขามเปียกนำมาคั้นผสมกับน้ำพริกเผา ซึ่งจำเป็นมากเพราะน้ำพริกเผาจะขาดมะขามเปียกไม่ได้เลย
มะขามเปียกเพียงแค่เอาน้ำมาคั้นใส่ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ก็จะได้ผัดไทยที่อร่อยครบสูตร
มะขามนำใบหรือยอดอ่อนๆ นำมาต้มรวมกับปลาช่อน ปลาสลิดเค็มเป็นต้มโคล้งแสนอร่อย
มะขามเปียกนำมาคั้นใส่น้ำตาลทราย และน้ำสะอาดในอัตราส่วนที่เหมาะสมนำไปต้มเคี่ยวกับไฟอ่อนๆ ดื่มกับน้ำแข็งก้อนได้น้ำมะขามดื่มแก้กระหายได้อย่างสดชื่น
มะขามมีวิตามินซีที่ต่อต้านอาการไข้หวัดได้สูง วิตามินเอช่วยในการบำรุงสายตาและการทำงานของระบบประสาท แคลเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน หรือเหล็กก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เส้นใยอาหารและวิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง วิตามินบี 2 ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายและป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและสารอาหารสำคัญอีกมากมาย

คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม

พลังงาน                  70            แคลอรี่
โปรตีน                    2.3           กรัม
ไขมัน                     0.2           กรัม
คาร์โบไฮเดรต         14.7         กรัม
เส้นใยอาหาร          6.3           กรัม
แคลเซียม              429          มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส              14            มิลลิกรัม
เหล็ก                       3.0           มิลลิกรัม
วิตามินเอ                 867          หน่วย
วิตามีนบี 1               0.08         มิลลิกรัม
วิตามีนบี 2               0.34         มิลลิกรัม
ไนอะซีน                  1.5           มิลลิกรัม
วิตามีนซี                  44            มิลลิกรัม

ที่มา : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว
มะขามเปียก

สรรพคุณ

บำรุงผิวลบรอยเหี่ยวย่นตีนกา ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขาม จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบัน ได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และผสมนมสดให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้

เป็นยาที่มีสรรพคุณในการดับความร้อน ช่วยย่อยอาหาร
เบื่ออาหาร สตรีแพ้ท้อง เด็กผอมแห้งแรงน้อย โดยนำมะขาม
สดหรือมะขามแห้งก็ได้มาต้มแล้วรับประทานน้ำ นำเมล็ดมะขาม
สีขาวมาต้มกับน้ำ เป็นยาขับพยาธิตัวกลม พยาธิเส้นด้าย ส่วน
มะขามต้มกับน้ำตาลทรายจนเหนียวข้น รับประทานแก้เสมหะ
ที่มีมากหลังดื่มสุรา

มะขาม
...............................................................................................................................

มะขามป้อม (Malacca tree)
  มะขามป้อมเป็นผลไม้เก่าแก่ ที่คนเฒ่าคนแก่จะรู้จักและตระหนักถึงคุณค่าของมะขามป้อมเป็นอย่างดี ว่ากันว่าชนชาติที่รู้จักมะขามป้อมมาช้านาน และแพร่หลายมากที่สุดในโลกเห็นจะได้แก่อินเดีย ซึ่งให้ความนับถือมะขามป้อมมากถึงกับขนานมะขามป้อมว่าเป็นพยาบาลที่ดูแลสุขภาพอยู่ข้างกายอีกนัยหนึ่งก็เปรียบเสมือนแม่ที่ดูแลรักษาลูกอยุ่เสมอ นอกจากนั้นยังมีการเล่าขานกันว่า เมื่อครั้งสมัยพุทะกาล พระพุทะเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลายฉันมะขามป้อมเป็นโอสถได้
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
รากแห้งของมะขามป้อม ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ท้องเสีย แก้โรคเรื้อน ลดความดันโลหิต
รากสดมะขามป้อม นำมาพอกแผลเมื่อโดนตะขาบกัด สามารถแก้พิษได้
เปลือกลำต้นมะขามป้อม ใช้เปลือกแห้งบดเป็นผง โรยบาดแผลหรือนำมาต้มดื่มแก้โรคบิด และฟกซ้ำ
ปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากแก้ปวดฟัน โดยนำปมก้าน 10-30 อัน มาต้มกับน้ำแล้วใช้อมหรือดื่มแก้ปวดท้องน้อย กระเพาะอาหาร แก้ปวดเมื่อยกระดูก แก้ไอ แก้ตานซางในเด็ก
ผลมะขามป้อมสด ใช้รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นยาบำรุง แก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย รักษาคอตีบ รักษาเลือกออกตามไรฟัน หรือจะนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ
ผลมะขามป้อมแห้ง นำมาบดชงน้ำร้อนแบบชาดื่มแก้ท้องเสีย โรคหนองในบำรุงธาตุ รักษาโรคบิด ใช้ล้างตา แก้ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด ใช้เป็นยาล้างตา หรือจะผสมกับน้ำสนิมเหล็กแก้โรคดีซ่าน โลหิตจาง
เมล็ด นำมาเผาไฟจนเป็นเถ้าผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้ตุ่มคัน หืด หรือตำเป็นผงชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบ รักษาโรคตา แก้คลื่นไส้ อาเจียน

คุณค่าทางอาหาร

มะขามป้อมมีรสชาติถึง 5 รสด้วยกัน คือ เปรี้ยว หวาน เผ็ดร้อน ขม ฝาด ถือได้ว่าทุกส่วนของมะขามป้อมมี
คุณประโยชน์ต่อร่างกายเราทั้งสิ้น ในมะขามป้อม 1 ผล มีวิตามินซีสูงถึง 700-100 มิลลิกรัม มะขามป้อมนับว่าเป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง ทางที่ดีเราควรหันมาบริโภคมะขามป้อม เป็นยาบำรุงและบำบัดโรคกันเถอะ วิธีง่ายๆ โดยวิธีทำเป็นมะขามป้อมกวนหรือลูกอมก็ได้ ถือเป็นการส่งเสริมสมุนไพรไทยอีกทางหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าในมะขามป้อมนั้นมีแคลเซียมสูงมาก ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังมีวิตามินซี ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม

พลังงาน                  62            แคลอรี่
โปรตีน                    0.3           กรัม
ไขมัน                     0.1           กรัม
คาร์โบไฮเดรต         14.9         กรัม
แคลเซียม              18            มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส              4              มิลลิกรัม
เหล็ก                    0.5           มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน          21            มิลลิกรัม
วิตามีนบี 1               0.02         มิลลิกรัม
วิตามีนบี                  20            มิลลิกรัม
ไนอะซีน                 0.8           มิลลิกรัม
วิตามีนซี                  19            มิลลิกรัม

ที่มา : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว
มะขามป้อมมีสรรพคุณในการละลายเสมหะ แก้ไอ
ถอนพิษ รักษาอาการหวัด ตัวร้อน มีไข้ ไอเจ็บคอ
โรคคอตีบ แก้อาการหอบหืด โดยเอาเครื่องในหมู
เช่น หัวใจ ปอด ต้มให้สุก จากนั้นเติมมะขามป้อม 21 ผล
ต้มต่อไปอีก แล้วนำน้ำมาดื่ม แก้พิษจากปลาปักเป้า
โดยกินมะขามป้อมสด หรือน้ำคั้นจากมะขามป้อม

..........................................................................................................................................................
มะเขือเทศ
มะเขือเทศมีวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามิน เอ ซี บี1
ซึ่งวิตามิน บี1 เป็นสารอาหารที่สำคัญในการพัฒนาการ
ของสมอง ดังนั้นจึงช่วยให้ความจำดีขึ้น วิตามิน ซี มีสรรพคุณ
ในการเพิ่มความต้านทานของร่างกาย ช่วยในการห้ามเลือด
และป้องกันความดันโลหิตสูง และมีสารช่วยย่อยอาหารอีกด้วย

.............................................................................................................................................................
มะตูม  (Bengal Quince, Bilak, Bael/Bael Fruit)

สรรพคุณทางยาสมุนไพร

มะตูมถือเป็นสมุนไพรที่ดีอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ถ้าสังเกตให้ดีๆ เราจะเห็นว่ามีมะตูมอ่อนที่หั่นเป็นแว่นๆ ตากแห้งขายอยู่ตามร้านขายยาแผนโบราณ หรือตามตลาดและสถานที่อื่นๆ
สรรพคุณทางยามะตูมนั้น สามารถขับลมได้ แก้ท้องผูก แก้อาการอ่อนเพลีย แก้ลม จุกเสียด
ผลมะตูม  ผลสุกหรือผลแห้ง นำมาต้มดื่มเป็นยา แก้บิด แก้ร้อนใน แก้โรคลำไส้เรื้อรัง
ใบมะตูม  นำมารับประทาน เป็นยาแก้โรคลำไส้ ทำให้เจริญอาหาร

คุณค่าทางอาหาร

มะตูมไม่ใช่ผักที่จะหาทานได้ง่ายนักตามท้องตลาด เพราะมีนิยมกันน้อย ส่วนที่นำมาปรุงอาหารกันมากก็คือยอดนำมาเป็นผักจัดให้สวยงามร่วมกับสำรับอาหาร จิ้มรับประทานกับน้ำพริกจะได้รสชาติเด็ดไม่น้อย
ใบมะตูม  นำมาคั้นนำปรุงเป็นแกงบวน ซึ่งถือว่าเป็นแกงของพิธีมงคล
ผลมะตูม  นำมาเชื่อมเก็บไว้รับประทานเป็นอาหารหวาน
ผลมะตูมอ่อน  นำมาฝานตากแห้งแล้วนำไปต้มดื่มเช่นเดียวกับน้ำชา เมื่อมีอาการกระหายน้ำ

คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม

ยังไม่ได้วิเคราะห์ และคำนวณผลแต่ในผลมะตูมนั้นก็มีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 อยู่ ช่วยให้ปลายมือเท้าไม่ชา ไม่เป็นแผลที่มุมปาก ส่วนในใบมะตูม 100 กรัม ให้เบต้าแคโรทีน 158.97 ไมโครกรัม เทียบกับหน่วยเรตินัล ช่วยป้องกันการเป็นโรคมะเร็ง
..............................................................................................................................................................
มะนาว (Common Linne, Lime)

สรรพคุณทางยาสมุนไพร

มะนาวมีคุณค่าสรรพคุณทางยามากมาย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ ปรุงยารักษาโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
มะนาวนำมาคั้นหรือบีบเอาน้ำนับว่ามีสรรพคุณมากมาย น้ำมะนาวนำมาผสมกับดอกดีปลีที่ฝนกับน้ำสุก ใส่เกลือป่นลงไปเล็กน้อยรับประทานเป็นยาแก้เสมหะ แก้เจ็บคอ
น้ำมะนาว นำมาผสมกับสีเสียดที่บดละเอียดตามสัดส่วนที่เหมาะสม แล้วนำมาพอกบริเวณบาดแผลสด ห้ามเลือดได้ดีมากแผลแห้งหายเร็ว
น้ำมะนาวสด นำมาผสมกับดินสอพอง ทารักษาอาการอักเสบช้ำบวม
น้ำมะนาว นำมารับประทานช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด และละลายก้อนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
น้ำมะนาว นำมาทาบริเวณผิวหนังที่หยาบกร้าน หนา แข็ง จะค่อยๆ อ่อนนุ่ม รักษาโรคติดเชื้อที่ผิวหน้า นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงประสาท ลดความดันโลหิตสูง ป้องกันบาดทะยัก รักษาอาการโลหิตจาง รักษาโรคกระเพาะอาหารและโรคบิดได้ชะงัดนัก
เปลือกมะนาว นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โขลกให้ละเอียดนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มเช่นเดียวกับชา แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว จุดเสียดแน่นท้อง คลื่นเหียน อาเจียน
เปลือกมะนาว นำมาโขลกให้ละเอียดรวมกับน้ำมะนาวผสมกับน้ำต้มสุกให้หมักผมประมาณ 10 นาที แล้วสระออกช่วยกระตุ้นให้รากผมตื่นตัว เจริญงอกงาม รังแคหาย เส้นผมสะอาด หนังศีรษะสะอาด
ใบมะนาว นำใยสดมาต้มดื่มแก้ไอ แก้ท้องอืด ขับลมทำให้เจริญอาหาร
คุณค่าทางอาหาร
มะนาวคั้นหรือบีบเอาน้ำมะนาวมาปรุงอาหารต่างๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทยำ น้ำพริกปลาทู น้ำพริกปลาร้า ลาบ ส้มตำ หรือจะเอาผลไปดองไว้ปรุงอาหารประเภทต้มหรือแกงได้รสชาติที่อร่อยถูกปาก น้ำมะนาวเมื่อนำมาผสมกับเกลือป่นใส่น้ำแข็ง ดื่มแก้กระกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
มะนาวนั้น มีสารอาหารอยู่หลายชนิด เช่น Slaronoid Organic acid citral โดยเฉพาะวิตามินซีนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยออกฤทธิ์รักษาโรคลักปิดลักเปิดได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ต่างๆ ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น

ที่มา : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว
มะนาวมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารเสริมกรดในกระเพาะอาหาร
เปลือกมะนาวเป็นยาขับลม ใบมะนาวเป็นยาขับเสมหะ แก้ไอ
ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องร่วงได้ รากและต้นมะนาวใช้เป็นยาแก้ปวด
แก้อาการฟกซ้ำจากการถูกตี ผ่ามะนาวครึ่งซีก พร้อมทั้งเปลือกเอา
ไปทาพอกที่บริเวณที่เป็น จะทำให้ผิวแห้วเปล่งปลั่งนิ่มนวลขึ้น
นอกจากนี้ดื่มน้ำมะนาวเป็นประจำยังป้องกันการแท้งบุตรอีกด้วย

....................................................................................................................................................................
บ้านคนรักสุนทราภรณ์