ไปที่เว็บ_พระไตรปิฏกฉบับอ่าน..

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

101MHZ องศาข่าว



-






      101MhzINN101.0FMonline
           






pcod TV1




วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สมุนไพรผลไม้ชนิดต่างๆ 10



-

ระบบภูมิคุ้มกันคือ อะไรระบบภูมิคุ้มกัน คือ กุญแจดอกสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพ โดยจะช่วยในการปกป้องเราจากโรคทุกชนิด ตั้งแต่โรคหวัดจนถึงโรคมะเร็ง นอกจากนั้น ยังสามารถช่วยต่อสู้กับของเสีย และชะบอความชรา ดังนั้น หากเราใช้ชีวิตโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพอันเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การรับประทานอาหาร การอยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่บั่นทอนระบบภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอลง และสิ่งที่ตามมาคือ ทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยต่างได้ง่ายขึ้น

หากจะพูดง่าย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันก็เหมือนกับ ทหารที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอม หรือจะเปรียบเหมือน คนกำจัดขยะ ในร่างกายการเราก็ได้อีกเหมือนกัน ดังนั้น หากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ร่างกายก็ย่อมเกิดโรคภัยต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เป็นโรคโน้นโรคนี่ ป่วยบ่อยๆ ร่างกายอ่อนแอนั้นเอง


ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างไร
ระบบภูมิคุ้มกัน ทำหน้าที่เสมือนกองทัพที่ช่วยปกป้องเราจากศัตรูที่จะเข้ามาทำร้ายร่างกายหรือเซลล์เรา ส่วนใหญ่จะอยู่ในระบบน้ำเหลือง และระบบเลือด โดยจะทำหน้าที่ทำลายแบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอม รวมถึงการกำจัดเนื่อเยื่อหรือเซลล์ที่ตายแล้วออกไปจากร่างกาย ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์เมื่อร่างกายมีความสมดุลของความเป็นกรดด่างในร่างกาย หรือความสมดุลของแบคทีเรียที่ดีและแบคทีเรียก่อโรค ซึ่งแบคทีเรียทั้งสองชนิดจะอยู่กันอย่างสมดุลในลำไส้ ทำให้การย่อยและการดูดซึมอาหารสมบูรณ์ แต่หากแบคทีเรียทั้งสองไม่สมดุลกันจะก่อให้เกิดปัญหาในการย่อย และเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น



ศัตรูของระบบภูมิคุ้มกัน
เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันนั้นต้องการสารอาหารบางประเภทเพื่อช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สารอินเตอร์เฟียรอน ที่เป็นสารต้านไวรัสและมะเร็งที่ถูกขับออกมาโดยเนื้อเยื่อเมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีที่เพียงพอ

ความเครียด การสูบบุหรี หรือการขาดการออกกำลังกาย หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ล้วนก่อให้เกิดความอ่อนแอของระบบภูมิคุ้มกันทั้งสิ้น



ภูมิคุ้มกันต่ำเป็นอย่างไร
ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ หรือด้อยประสิทฺธิภาพจะส่งสัญญาณให้เห็นได้ง่าย ๆ เช่น การที่คนเราป่วยเป็นหวัดบ่อย หรือมีระบบย่อยอาหารผิดปกติ มีอาการปวดเมื่อย ผิวหมองคล้ำ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น



ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน
  1. น้ำผักปั่นพลังเอนไซม์
  2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด
  3. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น
  4. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตร N-2000
  5. น้ำนมธัญพืช
  6. น้ำข้าวกล้องผสมธัญพืช
  7. ต้นข้าวสาลีอ่อน Whe Globerry
อาหารบำรุงเม็ดเลือดขาว
    1. ดอกขี้เหล็ก
    2. คะน้า
    3. ผักหวาน
    4. บล็อกโคลี
    5. มะม่วงดิบ
    6. ผักโขม
    7. ชะอม
    8. ผักชี
    9. ดอกกะหล่ำ
    10. มะขามอ่อน
    11. ดอกแค
    12. ผักขึ้นฉ่าย
    วิตามินที่เสริมความแข็งแรงให้กับเม็ดเลือดขาว คือ
    1. วิตามิน A
    2. วิตามิน C
    3. วิตามิน D
    4. วิตามิน E
    5. ธาตุเซเลเนียม
    6. ธาตุแมกนีเซียม
    7. ธาตุสังกะสี
    8. ธาตุทองแดง
    9. ธาตุเหล็ก
    ...................................................................................................................................................................

    การย่อยสลายเซลล์มะเร็ง

    โครงสร้างการย่อยสลายเซลล์มะเร็งร้ายให้ฝ่อหายไป


    โดย ดร. สิทธิพร เปล่งขำ นักวิจัยแห่งชาติ นักวิทยาศาสตร์แพทย์แบบผสมผสาน


    ปัจจัยที่ 1 หยุดยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง โดยการตัดสารอาหารที่ก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย
    เช่น การอดอาหารเพื่อล้างเซลล์มะเร็ง หรือ การขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย โดยการ detox เช่น การดื่มน้ำเอนไซม์, การออกกำลังกายขับสารพิษ, การทำสมาธิลดความเครียด, การคิดดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ


    ปัจจัยที่ 2 สารภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
    เช่น บำรุงเม็เลือดขาวด้วยอาหาร และวิตามินจากธรรมชาติ, บำรุงตับ และไต เพื่อให้ทำงานขับสารพิษได้ดี, ชำระล้างเลือดหรือสารอาหารที่ตกค้างในเลือดด้วยน้ำเอนไซม์จากผลไม้หรือผักสด, สร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวให้แข็งแรง และมีปริมาณที่เหมาะสมด้วยพลังจากสารอาหารธรรมชาติ


    ปัจจัยที่ 3 การย่อยสลายเซลล์มะเร็ง
    ด้วยการใช้โภชนาการบำบัด เช่น การกินสาหร่ายเกลียวทอง การทานวิตามินซีในปริมาณ 5,000 มก.ต่อวัน, การรับออกซิเจนด้วยการใช้ลมปราณบำบัดโรค, การทำสมาธิสลายความเครียด เป็นต้น


    ปัจจัยที่ 4 การสร้างอารมณ์ขัน
    เช่น มองโลกในแง่ดี, มีความหวัง, ความตั้งใจจริง, อดทน, ไม่เครียด, ลดความวิตกกังวน, เจริญสมาธิ แผ่เมตตา, พูดคุยกับผู้คนด้วยอัธยาศัยไมตรี


    ปัจจัยที่ 5 สร้างบรรยากาศแวดล้อมที่ดี
    เช่น การทำความสะอาดบ้านให้ปราศจากฝุ่น, ดื่มน้ำสะอาดทุกวันอย่างน้อย 3 - 5 ลิตร, อาบน้ำอุ่น หรือ อบไอน้ำเป็นประจำ, ทานอาหารปลอดสารพิษ, ชำระร่างกายให้สะอาด, ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด, สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ


    อาหารต้านมะเร็ง ที่ง่ายที่สุดของชมรมบ้านสุขภาพ คือ น้ำผักสดปั่นสูตรชมรมบ้านสุขภาพ และเครื่องดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดที่ได้จากกาารหมักผลไม้นานกว่า 6 ปี ขึ้นไป อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน ช่วยกระตุ้นต่อมและฮอร์โมนต่าง ๆ ทำให้ร่างกายต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ทำให้ร่างกายแข็งแรง ภูมิต้านทานดี มีประโยชน์ในการรักษามะเร็งได้
    .................................................................................................................................................................

    หลักการหมักน้ำเอนไซม์ทำกินเองที่บ้าน โดยชมรมบ้านสุขภาพ

    การหมักน้ำเอนไซม์ทำกินที่บ้านได้เอง 
    อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม


    1. ถังหมัก (มีฝาปิดสนิท) ที่ล้างทำความสะอาด หรือฆ่าเชื้อแล้ว (ลวกน้ำร้อน)
    2. น้ำผึ้งความชื้นต่ำ (20 - 25 % ความชื้น)
    3. ผลไม้ (รสเปรี้ยว หรือรสหวาน ตามชอบ)
    4. น้ำต้มสุก ที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้ว
    5. มีด เขียง 1 ชุด สำหรับหั่นผลไม้
    6. ไม้ หรือหินที่สะอาดสำหรับดันให้ผลไม้จมน้ำ
    7. สายยางสะอาดความยาวพอประมาณ สำหรับดูดเอาน้ำเอนไซม์ออกมาใช้
    8. เอนไซม์ล้างแช่ผัก ผลไม้ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำสะอาด 1 อ่างล้างจาน


    ***คืนก่อนการทำการหมัก ต้องเตรียมล้างทำความสะอาดผลไม้ที่ต้องการหมัก แล้วแช่ทิ้งไว้ในน้ำผสมเอนไซม์แช่ผัก 1 คืน ****


    วิธีการทำ


    1. หั่นผลไม้ที่แช่ล้างในน้ำเอนไซม์แช่ผักให้เป็นชิ้นพอดี ไม่ต้องปอกเปลือก
    2. ผสมน้ำผึ้งกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 กับ 10 ส่วน คนให้น้ำผึ้งละลายจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เทเข้าใส่ในภาชนะที่เตรียมสำหรับหมักไว้
    3. ใส่ผลไม้ที่เตรียมไว้ในอัตราส่วน 1 ส่วน โดยพยายามให้ผลไม้จมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด (หากผลไม้ลอยขึ้นมาให้หาไม้ขัดให้จมอยู่ใต้น้ำ) โดยเว้นเนื้อให้มีอากาศเล็กน้อย (1 ใน 5 ส่วน)
     4. ปิดฝาให้สนิท แล้วหมักในห้องที่มีอากาศถ่ายเท แต่ห้ามมีแสงแดดส่อง เป็นเวลา 3 เดือน โดยทุก ๆ อาทิตย์ ควรมาตรวจดู หรือหมั่นเปิดจุกคลายอากาศออกและปิดกลับให้สนิทเหมือนเดิม


    ***เมื่อได้เวลา 3 เดือน เกิด น้ำใส (ionic plasma) ลอยตัวให้ดูดออกด้วยสายยาง นำมาขยายต่อเป็นหัวเชื้อได้อีก 14 ครั้ง ทุก ๆ 3 เดือน ในอัตราส่วน น้ำใส 1 : น้ำผึ้ง 1 : น้ำ 10 ***
    ตัวกากที่ก้นขวดหมักต่อในอัตราส่วนเดิม
    ( กาก 3 : น้ำผึ้ง 1: น้ำ 10 ) ทุก 3 เดือน ดึงเอา น้ำใสออก (ทำได้ 3 ครั้ง)


    เมื่อครบ 3 ครั้งแล้วกากที่เป็นผงตะกอนใช้ ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะคลุกผลไม้ 10 กิโลกรัม ใส่น้ำ 10 ลิตร หมักจนกว่าจะได้น้ำใส แล้วเอามาต่ออีกเหมือนตอนต้นไปเรื่อย ๆ ฯลฯ
    เพียงวิธีง่าย ๆ คุณก็สามารถมีเครื่องดื่มสุขภาพ ในการใช้ดื่มเพื่อดูแลสุขภาพกันแบบง่าย ๆ ได้แล้วค่ะ
     บ้านคนรักสุนทราภรณ์ 
     


    วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

    สมุนไพรผลไม้ชนิดต่างๆ 09


    -

    ภาวะพร่องเอนไซม์

    ภาวะพร่องเอนไซม์หรือภาวะที่ร่างกายขาดเอนไซม์ (Enzyme Deficiency Conditions) คืออะไร
    ภาวะพร่องเอนไซม์ตามหลักของแพทย์ทางเลือก คือ ภาวะที่ร่างกาย อวัยวะ หรือเซลล์มีประสิทธิภาพลดลงทำให้มีการผลิตเอนไซม์ในร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะตกค้างของของเสียในร่างกาย ทำให้เกิดภาวะโรคเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกาย หรือโรคภัยนั้นเอง


    อาการที่แสดงว่าร่างกายขาดเอนไซม์ (Enzyme Deficiency)
    เราสามารถรู้สึกถึงอาการ (Symptom) เหล่านี้ได้เอง แต่ไม่เคยรู้ว่าร่างกายต้องการอะไร อาการเหล่านั้น ได้แก่
    • รู้สึกเหนื่อยหลังจากกินอาหารมื้อหนัก
    • อ่อนเพลียเป็นประจำ (Chronic Fatigue Syndrome)
    • ท้องผูก
    • ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ บางครั้งมีอาการจุกเสียด
    • ลมแน่นท้อง ผายลมมีกลิ่นเหม็น
    • อุจจาระจมน้ำ และอุจจาระเหม็นมาก
    • มีกลิ่นปาก
    • มีอาการของโรคภูมิแพ้ง่าย บางครั้งถึงขนาดหอบหืด
    • เวลาเป็นแผลจะหายช้า
    • น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย เป็นต้น
    อาการเหล่านี้แพทย์ท่านเลือกจะวินิจฉัยว่าท่านกำลังขาดเอนไซม์ สำหรับแพทย์แผนปัจจุบันจะดูจากอาการเหล่านี้ จึงวินิจฉัยว่ามีภาวะขาดเอนไซม์ คือ
    1. ตับอ่อนบวม
    2. เม็ดโลหิตขาวเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติหลังกินอาหาร 30 นาที
    3. น้ำลายมีฤทธิ์เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 7)
    4. ในปัสสาวะมีสารพิษมาก เกิดจากอาหารไม่ย่อยจึงบูดในลำไส้ใหญ่ ร่างกายจะดูดซึมพร้อมกับน้ำเข้าไปในกระแสเลือด ตับและไตจะกรองสารพิษเอาไว้ และจะขับสารพิษนี้ทิ้งออกทางปัสสาวะ
    5. ระดับเอนไซม์ต่ำกว่าปกติในเลือด
    6. ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย
    ในอดีต เมื่อเราพูดว่าร่างกายขาดเอนไซม์ คือสภาวะอาหารไม่ย่อยแต่เมื่อศึกษาค้นคว้ามากขึ้น ในปัจจุบัน เราพบอาการต่างๆ อีกมากมาย เราสามารถแบ่งสภาพของการมีเอนไซม์บกพร่องออกได้เป็น 3 ชนิดคือ
       1. สภาพของการขาดเอนไซม์โปรตีเอส (ProteaseDeficiency Conditions)
       2. สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions
       3. สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency  Conditions)

    สภาพของการขาดเอนไซม์โปรตีเอส (Protease Deficiency Conditions)
    คือ เราจะไม่สามารถย่อยพวกเนื้อสัตว์หรือโปรตีนได้ จึงเกิดอาการของโรคขาดโปรตีน (Protein Deficiency Symptom) ทำให้เลือดมีความเป็นด่างสูงมากเกินไป อาจมากกว่า pH 8.0 (Alkaline Excess) ซึ่งปกติเลือดมีค่า pH เท่ากับ 7.4 ทำให้ร่างกายขาดความสมดุล (Homeostasis) เพราะด่างสูง กลายเป็นต้นเหตุของความรู้สึกกระวนกระวาย (Anxiety) จนบางคนต้องใช้ยากล่อมประสาทช่วย

    ดังนั้นควรให้กินเอนไซม์เสริมชนิดโปรตีเอส ก็จะช่วยให้ดีขึ้น  ถ้าโปรตีนมีจำนวนต่ำในเลือด (Protein Deficiency) ทำให้เกิดอาการขาดแคลนแคลเซียมร่วมด้วย (Calcium Deficiency) แคลเซียมจะต้องอาศัยเกาะติดโปรตีนเมื่อเวลาไหลเวียนอยู่ในกระแสโลหิต  ทำให้มีอาการข้ออักเสบ (Arthritis) ตามมาพร้อมโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) หมอนรองกระดูกเสื่อม (Degenerative Disc Problem) ฯลฯ ร้อยละ 45 ของโปรตีนในรูปของกรดอะมิโนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในตับ การที่โปรตีนไม่สามารถถูกย่อยได้จึงทำให้เกิดสภาวะน้ำตาลกลูโคสต่ำในเลือด (Hypoglycemia) ตามมา เป็นเหตุให้สมองขาดน้ำตาลกลูโคส เกิดความรู้สึกหงุดหงิด (Moody) รำคาญ และฉุนเฉียวง่าย

    การขาดโปรตีนในเลือดทำให้เกิดอาการบวมทั้งตัว (Edema) การย่อยโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้มีกากอาหารที่ไม่ย่อย (Undigested Protien) ไปสะสมบริเวณลำไส้ใหญ่ (Colon) เป็นสาเหตุการเกิดสารพาลำไส้ใหญ่อักเสบ (Mucous Colitis) ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) และอาจถึงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) ได้ โรคตามมาที่คาดไม่ถึงคือ ในเด็กมักเป็นโรคช่องหูอักเสบเรื้อรัง หรือ หูน้ำหนวก (Otitis Media) กับโพรงจมูกของใบหน้าอักเสบ (Sinusitis) การรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะและใช้เอนไซม์โปรตีเอสร่วมด้วยจะทำให้หายเร็วขึ้น
    ผลของการขาดโปรตีเอสที่กระทบโดยตรง อีกประการก็คือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดการอักเสบได้ง่าย เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหลายเป็นโปรตีนหรือบางชนิดก็มีโปรตีนเป็นตัว หุ้ม และโปรตีเอสเป็นเอนไซม์ที่สามารถย่อยเยื่อหุ้มที่เป็นโปรตีนให้แตกออก เพื่อให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายเข้าถึงตัวและทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้โดยง่าย

    สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions)

    เอนไซม์อไมเลสย่อย แป้ง ข้าว ให้เป็นสารประกอบเชิงเดี่ยว (Monosaccharide) เช่น น้ำตาลกลูโคส (Glucose) และย่อยเม็ดโลหิตขาวที่ตาย (คือ หนอง Pus)ให้หมด ไปดังนั้นถ้าร่างกายขาดเอนไซม์อไมเลส ท่านจะเกิดเป็นฝี (Abscess) ได้บ่อยๆ ผู้ป่วยที่ปวดฟัน เหงือกรอบฟันเป็นหนองง่ายมาก การที่กินหวานจัดๆ ร่างกายต้องใช้เอนไซม์อไมเลสมากจนผลิตไม่ทัน จึงทำให้เป็นฝีง่าย นอกจากนั้นยังเป็นที่ปอดและผิวหนังได้ง่ายอีกด้วย

    ปอดและผิวหนังเป็น อวัยวะที่สัมผัสกับโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยมลภาวะ การขาดเอนไซม์อไมเลสจึงทำให้เกิดอักเสบได้ง่าย ถ้าเป็นที่ปอดอาจจะแสดงอาการของโรคหืด (Asthma) และถุงลมพอง (Emphysema) ส่วนผิวหนังจะมีอาการของโรคผิวหนังเป็นสะเก็ดพุพอง มีน้ำเหลือง (Eczema) หรือเป็นโรคผิวหนังชื่อ สะเก็ดเงิน (Psoriasis) และโรคเริม (Herpes)การรักษาให้ใช้เอนไซม์เสริมเพื่อกินร่วมกับยา โดยให้มีเอนไซม์อไมเลสในสัดส่วนที่มากกว่าเอนไซม์อย่างอื่น

    สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency Conditions)เอนไซม์ ไลเปสมีหน้าที่ย่อยไขมันและวิตามินชนิดละลายในไขมัน การขาดไลเปสจึงเกิดโคเลสเตอรอลสูงในเลือด(High Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์สูง (High Triglyceride) เป็นต้นเหตุของน้ำหนักตัวเกินกว่าปกติ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (Atherosclerosis) ความดันโลหิตสูง ตามมาด้วยโรคหัวใจขาดเลือด (Heart Inflection) โรคลมปัจจุบันหรือสมองขาดเลือด (Stroke)
    การขาดเอนไซม์ไลเปส ทำให้ความสามารถของเยื่อหุ้มเซลล์บกพร่อง นั้นคือ สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายไม่อาจจะซึมผ่านเข้าเซลล์ ส่วนของเสียภายในเซลล์ก็ขับออกมาทิ้งข้างนอกไม่ได้
    สำหรับอาการที่พบ บ่อยๆ อีกอย่างคือ  กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง (Muscle Spasm) โดยเริ่มเจ็บร้าวจากบริเวณหน้าอก ไหล่ ลามมาที่คอ ดูคล้ายๆ คอเคล็ด บางครั้งมีกล้ามเนื้อเกร็งที่ลำไส้ใหญ่ (Spastic Colon) อาการต่างๆ ทั้งหมดนี้ ถ้ากินเอนไซม์ไลเปสก็จะช่วยให้ทุเลาขึ้น

    น้ำพลังเอนไซม์ทุกสูตร ของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ผ่านการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการพบว่า...
    มีเอนไซม์อย่างน้อย 7 ชนิด ดังนี้

    1. Protease เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยโปรตีน
    2. Amylase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยแป้ง คาร์โบไฮเดรต
    3. Invertase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต
    4. B-gluconase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต
    5. Phytase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยไขมัน
    6. Cellulase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยไฟเบอร์ ใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต
    7. Xylanase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยแร่ธาตุ วิตามิน
    ดังนั้น จึงกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า น้ำเอนไซม์จากผลไม้รวมของดร.รสสุคนธ์ จึงเป็นการเสริมเอนไซม์ให้กับร่างกายได้ทั้ง 3 กลุ่ม แก้ปัญหาภาวะพร่องเอนไซม์ หรือโรคที่เกิดจากภาวะพร่องเอนไซม์ได้โดยรวม ซึ่งเราจะพบได้ว่า ร่างกายของเรามิได้ขาดเพียงเอนไซม์ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น บางคนเป็นหลายโรค ซึ่งก็เกิดจากภาวะพร่องเอนไซม์หลายตัวเช่นกัน

    การดื่มน้ำเอนไซม์จากผลไม้รวม จึงเป็นเพียงการเสริมเอนไซม์และสารอาหารที่มีขนาดเล็กพร้อมดูดซึมให้กับเซลล์ทันที ดังนั้นจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่คุณสามารถเลือกใช้ในการฟื้นฟู บำบัด บำรุง ดูแลสุขภาพของคุณ และคนที่คุณรักได้ค่ะ
    แต่อย่าลืม>>>>>  เอนไซม์ ไม่ใช่ยา เป็นเพียงโภชนาการบำบัดเท่านัั้น

    หลักการดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดเพื่อสุขภาพ

    เครื่องดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด 

    เป็นเครื่องดื่มสำหรับป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ มิใช่ยา ไม่สามารถใช้รักษาโรคได้ แต่สามารถฟื้นฟูเซลล์อวัยวะต่าง ๆ และร่างกาย รวมถึงภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ร่างกายบำบัดรักษาตนเองได้ ในแนวของธรรมชาติบำบัด

    การดื่มน้ำพลังเอนไซม์ เพื่อบำบัด หรือ ฟื้นฟูสุขภาพ ตามหลักของชมรมบ้าน(รักษ์)สุขภาพ ต้องเริ่มต้นที่ 
    1. พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิต มาใช้ตามหลัก หลักบทบัญญัติ  10 ประการ
    2. มีความตั้งใจจริง ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และมีความเพียร ในการปฏิบัติตามคำแนะนำ
    3. มีความอดทน และพร้อมจะเรียนรู้รับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้น เพราะน้ำพลังเอนไซม์บำบัดในช่วงที่เข้าไปกระตุ้นการขับพิษของเซลล์ มักจะมีอาการข้างเคียง ซึ่งไม่ควรตื่นตกใจ ให้ติดต่อสอบถามผู้รู้ หรือดื่มต่อไปเพื่อเร่งการขับสารพิษให้ออกจากร่างกายให้เร็วที่สุด
    4. ดื่มน้ำพลังเอนไซม์ตามฉลาก หรือตามหลักการดื่มเฉพาะโรคที่สอบถามจากผู้รู้ของชมรม พร้อมเสริมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่่อร่างกายให้เพียงพอ
    5. ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 ลิตร ตามหลัก พลังน้ำบำบัด
    หลักง่าย ๆ สำหรับผู้ดื่มเพื่อป้องกันสุขภาพ ยังไม่เจ็บป่วย
    1. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำดื่ม 250 มิลลิลิตร ดื่มก่อนอาหาร 30 -60 นาที เพื่อปรับสมดุลความเป็นกรดด่างในร่างกาย เพิ่มภูมิต้านทาน และฟื้นฟูสุขภาพ (ดื่ม เช้า กลางวัน เย็น)
    2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ผสมในกับข้าวหรืออาหารก่อนรับประทาน 30 นาที ช่วยให้เจริญอาหาร ปรับเปลี่ยนโครงสร้างสารพิษในอาหาร
    3. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำดื่ม 250 มิลลิลิตร ดื่มหลังอาหาร 30 นาที ช่วยในการย่อย ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยลดน้ำหนัก (ดื่ม เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน)
    4. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น สามารถหยดใส่น้ำดื่มได้ตลอดทั้งวัน สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันสูง เพื่อเร่งในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะความดันต่ำ เนื่องจากสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่ควรดื่มด้วยวิธีนี้
    .............................................................................................................................................................

    เรื่องเล่าของผู้ป่วย - เอนไซม์กับชีวิตที่เหลืออยู่

    เอนไซม์กับชีวิตที่เหลืออยู่

    คุณพ่อของข้าพเจ้าเมื่อตอนอายุ 72 ปี ได้ป่วยและเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพ หมอวินิฉัยว่า เกล็ดเลือดต่ำ ตับแข็ง ไตวาย เส้นเลือดโป่งที่หัวใจ และเส้นเลือดในกระเพาะอาหารแตก ซึ่งได้รักษาโดยการให้ยาอุดเส้นเลือด ราคาเข็มละ 6,000 บาท 8 เข็ม ซึ่งก็ยังไม่ดีขึ้น หมอบอกว่าไม่สามารถรักษาได คงสิ้นในไม่กี่วัน

    ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อไม่มมีทางก็ขอใช้เอ็นไซม์ที่ข้าพเจ้าดื่มทุกวัน โดยใช้หลอดฉีดเข้าทางปาก เนื่องจากคุณพ่อลิ้นแข็งและไม่รู้สึกตัวหลายวันแล้ว โดยป้อนเอ็นไซม์ตอนเช้า พอตกบ่ายท่านก็อาเจียนเป็นเลือดและหนองออกมามาก ๆ แล้วหลับไป หมอบอกว่าเป็นอาการช็อคเลือดซึ่งเป็นอาการสุดท้ายซึ่งแอมโมเนียจะขึ้นถึงสมองและสิ้นใจในที่สุด แต่เย็นนั้นเองท่านก็เริ่มรู้สึกตัว และพูดว่านอนหลับไปสบายมาก รู้สึกไม่อึดอัดท้อง ไม่เหมือนเมื่อตอนเข้าโรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นคงมีเลือดเต็มท้องอยู่ ในวันต่อมาหมอก็ให้ยารักษาตับอีก ซึ่งเมื่อท่านทานแล้วก็มีอาการสลึมสลือ ท้องอืด ตัวบวมอีกและก็ไม่รู้สึกตัว

    ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจพาท่านกลับและหยุดยาจากแพทย์ทั้งหมด เริ่มต้นป้อนเอ็นไซม์และให้อาหารเหลวเนอเจอร์ ซึ่งเป็นเหมือนน้ำข้าวธัญพืช ท่านก็เริ่มระบายออก ท้องเริ่มยุบ เป็นอยู่ประมาณ 5 วัน ท่านก็ลุกนั่งบนเตียงได้ และเริ่มหัดยืนแล้วเดินแต่จะมีอาการหนาวสั่นในช่วง 2 สัปดาห์ ซึ่งดร.รสสุคนธ์บอกว่าเป็นอาการไขกระดูกเริ่มสร้างและเชื่อมต่อกัน ซึ่งจะทำให้หนาวสั่นสักพัก

    วันสองวัน พอผ่านไปได้ 1 เดือน คุณพ่อก็เริ่มหัดเดิน และเดินได้ตามปกติ แต่ท่านก็ยังไม่ทานเนื้อสัตว์ หมู ไก่ เป็ด ยกเว้นปลาตลอด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเอ็นไซม์จะช่วยให้คุณพ่อของข้าพเจ้ารอดพ้นจากความตายมาได้ ซึ่งหลังออกจากโรงพยาบาล ท่านก็ได้ดื่มเอ็นไซม์มาตลอด สุขภาพท่านก็ดี ระบบย่อยอาหารได้ดี หลับสบาย ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าผู้สูงอายุสิ่งสำคัญต่อสุขภาพ คือ การขับถ่ายและการนอนหลับ.....นับว่าเอนไซม์ได้แก้ปัญหานี้เป็นอย่างดี
    เอนไซม์ เป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตให้อยู่อย่างปกติสุข ดังนั้น การเสริมเอนไซม์ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน

    เรื่องเล่าจากผู้ป่วย- เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายและเรื้อรัง

    เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายและเรื้อรัง


    โดยนางศิราณี  เอกัคคตาจิต จังหวัด บุรีรัมย์


       ครอบครัวเรามีลูก 4 คน  ผู้ชายล้วน  พ่อบ้านชื่อ น.พ. ศิริพงษ์  เอกัคคตาจิต  รับราชการทำงานโรงพยาบาลบุรีรัมย์  จบแพทย์จุฬาฯ รุ่น 24  ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ ซี 9  ข้าพเจ้าเป็นแม่บ้าน เต็มขั้น


    และความไม่เที่ยงก็เกิดขึ้นเช้าวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2540  ตื่นเช้ามาดูลูกคนที่ 3 ชื่อ ศักดา  เอกัคคตาจิต  เขาบอกยืนได้ขาข้างเดียว  เจ็บข้อเท้าและเข่ามาก  เราก็ไม่คิดว่าเป็นอะไรมาก  เป็นจังหวะใกล้จะเปิดเทอมแรกของการเข้ามหาวิทยาลัย  เขาเรียนแพทย์ศิริราช  โดยสอบเข้าโควต้าแพทย์ศิริราช  และสอบแข่งขันวิชาเคมีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2538


    ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลศิริราช 2 อาทิตย์  หมอให้ยาแก้ปวด  แล้วดูอาการ  ให้ใช้ไม้เท้าไปเรียนได้ 2 อาทิตย์  ปรากฏว่าอาการกำเริบ  อาการเจ็บขยายมาที่หัวไหล่ทั้ง 2 ข้าง  ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง


    ครั้งนี้หมอตรวจอาการแล้วถามข้าพเจ้าว่ามีลูกกี่คน  ตอบว่ามี 4 คน  คนโตทำงานแล้ว  คนที่ 2 เรียนแพทย์ขอนแก่น  คนป่วยเป็นคนที่ 3  รู้สึกหมอที่ถามมีสีหน้าดีขึ้นเพราะเขารู้แล้วว่าโรคที่ลูกเป็นนี้เข้าข่ายปวดข้อ โรครูมาตอย  เพราะเจ็บข้อก่อนอายุ 17 ปี  ซึ่งค่อนข้างร้ายแรง  เพราะแม้แต่สถิติการรักษาต่างประเทศก็ยาก  มีให้ได้ก็ยาแก้ปวดเท่านั้น  เป็นมากหลายปีหน่อยก็จะพิการได้


    หมอที่รักษาเขาก็บอกให้แม่ทำใจและให้ยาแก้ปวดมากินที่บ้าน ความรู้สึกของแม่แทบล่มสลาย  วันแล้ววันเล่าไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น  จุกปวดกระเพาะอาหารขนาดหนักเพราะกินยาแก้ปวด  กินยาเคลือบกระเพาะอาหารเต็มที่ก็ยังเจ็บท้องอยู่  นรกบนดินเป็นเช่นนี้เอง  กินยาแก้ปวดข้ออย่างแรงเช้าเย็น  แก้ได้ชั่วคราวต้องกินประจำ  แม้ปวดกระเพาะอาหารก็ต้องกิน  เจาะเลือดทำอีเอสอาร์อยู่ระหว่าง 50-90 มม./ชม.  ซึ่งค่าปกติไม่เกิน 20 มม./ชม. กินยามากจนหูอื้อ  แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น


    ช่วงนี้เขาก็ไปอยู่วัดกับหลวงพ่อ 5-6 เดือน  ทำเรื่องลาเรียน 1 ปี  ระยะนี้ขาเริ่มลีบเพราะเจ็บ   ข้อเท้ามากต้องนอนกับที่  เราเป็นชาวพุทธ  ช่วงไหนที่จิตมีสมาธิก็อธิษฐานขอให้ลูกได้พบหนทางรักษาที่ถูกต้องด้วยเถิด  จะได้หยุดยาแก้ปวดนี้เสียที  ชีวิตที่เหลืออยู่นี้จะขวนขวายทำแต่ความดี


    แล้วโชคก็มาถึง  วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541  ดร. พรพรรณ และคุณแฉซึ่งเป็นญาติกับอาจารย์นิศา เชนะกุล  ได้มาที่บ้านเพื่อไปกราบหลวงปู่ที่วัดเขาน้อย  เขามาเห็นลูกชายป่วย  เขาก็แนะนำให้ทานนมธัญพืช  และน้ำผักปั่น  โดยทานนมธัญพืชก่อนอาหารวันละ 1 แก้ว  และน้ำผักปั่นวันละ 4-5 แก้ว  ทานได้ 20 วัน  หมอก็ให้เจาะอีเอสอาร์ดู  ปรากฏว่าอีเอสอาร์ลดเหลือ 36 มม./ชม.  ลูกชายก็ร้องออกมาว่าเขาคงรอดตายและหายได้


    จากการทานอาหารนี้ก็เริ่มมีกำลังใจ  รับประทานนมธัญพืชและน้ำผักปั่นมากขึ้น  กินนมธัญพืชและน้ำผักปั่นนอย่างละ 6-7 แก้วทุกวัน  และแช่น้ำร้อนสลับน้ำเย็นอย่างละ 3 นาที  และเริ่มไปอยู่วัดอีกเพื่อจะได้อยู่กับธรรมชาติ  นอนหัวค่ำ (3 ทุ่ม)  และรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด  พอทานได้ 1 เดือน ก็หยุดยาทุกชนิด  อีเอสอาร์ก็ลดลงเรื่อย ๆ เหลือ 20 มม./ชม.  ต่อมาก็เหลือ 12 ก็เท่ากับคนปกติ


    เจาะอีกครั้งหนึ่งก่อนไปเรียนวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2541  ค่าอีเอสอาร์เท่ากับ 1 มม. ต่อ ชม.  เม็ดเลือดแดง จาก 33% เป็น 48%  เม็ดเลือดขาว จาก 13,500 ก็เหลือ 6,500  พอเรียนไปได้ 5-6 เดือน  เขาก็สามารถบริจาคเลือดให้กับโรงพยาบาลศิริราชได้  ญาติพี่น้องใกล้ชิดแม้นเพื่อนหมอด้วยกันก็รู้สึก เหมือนปาฏิหารย์  ใครจะคาดคิดว่าจะหายจากโรคด้วยอาหารดังกล่าวนี้




    ข้าพเจ้าจึงต้องการเผยแพร่ให้ผู้ที่มีอาการปวดข้อเรื้อรังลองมาดื่มน้ำผักปั่นและนมธัญพืชอย่างละ 8-12 แก้วต่อวัน  เพื่อไม่ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อยาแก้ปวดข้อและยาป้องกันโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล  ซึ่งต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ  ทำให้เสียดุลการค้าระหว่างประเทศ  และให้นอนแต่หัวค่ำ 3 ทุ่ม ทำจิตใจให้เบิกบาน  นั่งสมาธิ  ถ่ายอุจจาระทุกวันโดยกินอาหารที่มีกากใย  ซึ่งเป็นอาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านขบวนการปรุงแต่ง  ได้แก่  เมล็ดธัญพืช  ผักสด  ผลไม้สด  ไข่ขาว  ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก  กินแต่เนื้อปลา  โดยนึ่งหรือต้ม  ไม่ควรทอด  เพราะจะมีไขมันมาก  ไม่กินอาหารกระป๋อง  เพราะต้องผ่านขบวนการปรุงแต่ง  ทำให้เสียคุณค่าอาหาร  ไม่นอนอยู่ใกล้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  โดยอย่าให้มีเครื่องทีวี  วิทยุ  เครื่องคอมพิวเตอร์  และตู้เย็นในห้องนอน  ออกกำลังกาย  ทำกายภาพบำบัด  เพื่อไม่ไห้กล้ามเนื้อลีบ  ก็อาจหายจากโรคปวดข้อเรื้อรังและไม่มีความพิการของแขนขาข้างที่ปวดข้อได้โดยปกติ

    บ้านคนรักสุนทราภรณ์ 
     


    

    วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

    สมุนไพรผลไม้ชนิดต่างๆ 08


    ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพพลังเอนไซม์บำบัดจากการวิจัย
    1. เอนไซม์ ช่วยเปลี่ยนอาหารคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และเส้นใยอาหารให้เป็นกรดอินทรีย์ เช่น กรดแลคติก กรดอะซิติก และกรดบิวทิริก ซึ่งมีความเป็นกรดอ่อน ๆ ทำให้เอนไซม์มีรสเปรี้ยว และช่วยทำให้การขับถ่ายเป็นไปได้อย่างสะดวก กรดอินทรีย์ชนิดบิวทีริกเสริมสร้างการสร้างดีเอ็นเอ และเพิ่มจำนวนเซลล์บุผิวในลำไส้ใหญ่ให้มีมากแข็งแรงมีอายุยืนกว่าเดิม ทำหน้าที่ต้านเชื้อโรคได้ดี ต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดี


    2. เอนไซม์สร้างวิตามิน บี ๑๒ วิตามิน K และวิตามิน B หลายชนิด ช่วยบำรุงเม็ดเลือด เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท และเซลล์ทั่วไป


    3. ช่วยสร้างเอนไซม์แลคเตส เพื่อย่อยน้ำตาลในนม ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ดังนั้น เด็ก ๆ ที่ยังดื่มนมสามารถดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดผสมในนมได้


    4. สร้างสารต่อต้านเชื้อโรค สารอินทรีย์นี้เรียกว่า แบคทีริโอซิน (Bactiriocins) มีหลายชนิด ได้แก่ acidolin, acidophillin, bulgarican, lactocillin และ niacin ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโทษต่อรางกายการ เช่น เชื้อที่ทำให้เจ็บคอ เชื้อที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง เชื้อที่ทำให้เกิดโรคตามผิวหนังเป็นแผลพุพองเรื้อรัง ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ เชื้อที่ทำให้ท้องร่วง และเชื้อที่ทำให้เกิดเหม็นเน่า


    5. ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด เหมาะสำหรับผู้มีระดับไขมันในเลือดสูง หรือความดันสูง


    6. ช่วยในการทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะช่วยยืดระยะเวลาการหมดประจำเดือน และบรรเทาอาการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วย เนื่องจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน


    7. ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการฉายรังสี และเคมีบำบัดหลังการผ่าตัดมะเร็ง ลดอาการแพ้ คลื่นไส้ ผมร่วง ทำให้รับประทานอาหารได้ดีขึ้น และพบว่าทำให้ปริมาณฮีโมโกบินสูงขึ้นด้วย


    8. ช่วยลดการเกิดสารก่อมะเร็งบางชนิด เช่น ไนโตรซามีน


    9. ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในสัตว์ทดลอง ทั้งในระยะเริ่มต้น และระยะส่งเสริมของโรคมะเร็ง และในทางระบาดวิทยา พบว่าในคนมีความสัมพันธ์กับการลดอัตราการเสี่ยงของมะเร็งลำไส้


    สรุปประโยชน์ของเอนไซม์ได้ ดังนี้
    1. ช่วยปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกาย
    2. ทำใหระบบการย่อยและขับถ่ายดีขึ้น
    3. ทำให้เซลล์ในร่างกายได้รับสารอาหารอย่างสมดุล
    4. สลายสารพิษและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย (ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ)
    จากหนังสือเอนไซม์ โดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ มูลนิธิภูมิปัญญาสากล

    น้ำหมักชีวภาพ (น้ำเอนไซม์) กับไวน์ ต่างกันอย่างไร ?

    น้ำหมักชีวภาพ (น้ำเอนไซม์) ใช้สำหรับดื่มกินเป็นสารละลายที่อุดมไปด้วยสารอาหาร จำพวกโปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค ตลอดจนพวกกรดอะมิโน (Amino acid) และ อะเซทิลโคเอ (Acetyl CoA) ที่ได้จากหมักผลไม้นานาชนิดในระยะเวลานานกว่า 4 ปี โดยอาศัยจุลินทรีย์ท้องถิ่น หลากหลายชนิด ที่ปะปนอยู่ในวัตถุดิบ หรือในกระบวนการหมัก เพื่อเปลี่ยนผลไม้ และน้ำผึ้ง ให้ได้ผลผลิตตามต้องการ


    ซึ่งในระยะเริ่มแรกจะได้ผลิตภัณฑ์เป็นแอลกอฮอล์ สังเกตุได้จากมีกลิ่นฉุน มีแก๊ซเยอะ ระยะต่อมาได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำส้มสายชู (รสเปรี้ยว กลิ่นเปรี้ยวหอม) อีกระยะหนึ่งเป็นยาธาตุ (รสขม เปรี้ยวขม กลิ่นหอมคงที) ในที่สุดก็ได้เป็นน้ำหมักชีวภาพ (ที่เราเรียกว่าน้ำเอ็นไซม์) ซึ่งใช้เวลาหมักขยายประมาณ 2 ปีขึ้นไป แต่กรณีจะนำไปดื่มกิน ควรผ่านการหมักขยายเป็นเวลา 6 ปีขึ้นไปจะให้คุณค่าของสารอาหารดีกว่า ตลอดจนแอลกอฮอล์ต่ำเพียงพอที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย


    ไวน์ (WINE) เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้จากการหมักองุ่น (ไวน์แดงทำจากองุ่นแดง ไวน์ขาวทำจากองุ่นเขียว) โดยกระบวนการหมักต้องการผลิตภัณฑ์คือ แอลกอฮอล์ และจะใช้เชื้อยีสต์บริสุทธิ์ เช่น แชคคาโรมัยซีส (Saccharomyces cerevisiae ) เป็นเชื้อตั้งต้น เพื่อควบคุมกระบวนการหมักให้เปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ กับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งทั้งกระบวนการหมักต้องควบคุมเชื้อ และความสะอาด ทั้งผลไม้ น้ำตาล และ ภาชนะ จะผ่านการฆ่าเชื้อก่อนทุกขั้นตอน


    สรุปว่า น้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) กับไวน์ต่างกัน ทั้งเจตนาในการหมัก เพื่อจะให้ได้ผลผลิต กระบวนการหมัก การควบคุมเชื้อจุลินทรีย์และความปลอดภัยในการบริโภค


    น้ำหมักชีวภาพ (น้ำเอนไซม์) แบ่งตามการใช้งานได้เป็น 2 ประเภท คือ


    1. ใช้อุปโภค หรือใช้ภายนอก ได้แก่ น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน สบู่น้ำ แชมพูสระผม น้ำยาล้างรถ น้ำยาดับกลิ่น ปุ๋ยน้ำ แก้สิวฝ้า น้ำยาบ้วนปาก ฯลฯ


    2. ใช้บริโภค  หรือใช้ภายใน ได้แก่ น้ำหมักชีวภาพ(น้ำเอนไซม์)ใช้ดื่มกิน สมุนไพรหมักใช้เป็นยา ฯลฯ


    ปัญหาของน้ำหมักชีวภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการนำไปดื่มกิน เมื่อได้น้ำหมักชีวภาพ ในขั้นต้น (ระยะการหมักเพียง 3, 5, 7, 9, 11 เดือน) แล้ว นำไปดื่มกิน เนื่องจากความรู้ที่ไม่ชัดเจน และมีการเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ หรือการผลิตเพื่อเน้นการขาย แม้เอนไซม์ที่ได้เหล่านั้น จะมีคุณสมบัติช่วยในระบบการย่อย และการขับถ่ายดีขึ้นก็ตาม แต่น้ำหมักชีวภาพ (น้ำเอนไซม์) ในช่วงนี้มีสภาพเป็น แอลกอฮอล์ และมีแอลกอฮอล์อยู่มาก (คล้ายไวน์) สังเกตได้โดยการดมกลิ่น ชิมรส ถ้าดื่มแล้วมีอาการร้อนวูบวาบ ลงท้องแล้ว ตีกลับขึ้นหัว กระจายไปทั่วตัว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทาน หรือทำให้บางคนมีอาการมึนงงหรือปวดหัว อาจเป็นสาเหตุว่ามีแอลกอฮอล์ปนเปื้อนอยู่ได้


    ผลเสียของการดื่มน้ำหมักชีวภาพแบบเข้มข้นที่เกิดขึ้น ทำให้ฟันผุกร่อน เนื้อฟันบาง เพราะน้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) มีสภาพเป็นกรดสูง วัด pH ได้ 3-4 กรดจะกัดกร่อนเนื้อฟัน (แคลเซียม) ทำให้ฟันเสียได้ ฉะนั้นการดื่มกินน้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) แบบเข้มข้นจึงควรหลีกเลี่ยง เราควรผสมน้ำเปล่าให้เจือจางก่อน น้ำหมัก ชีวภาพ (เอ็นไซม์) 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว (ลองนึกเปรียบเทียบกับปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ เวลาเราใช้รดน้ำต้นไม้ จะผสมน้ำให้เจือจาง 500 - 1,000 เท่า ถ้าใช้รดต้นไม้แบบเข้มข้น ต้นไม้จะเฉาตาย)


    การทำน้ำหมักชีวภาพ ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ แต่ต้องอาศัยเวลา และความอดทน ที่สำคัญน้ำหมักชีวภาพไม่มีสูตรที่ตายตัว เราสามารถทดลองทำปรับเปลี่ยนวัตถุดิบให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายหรือท้องถิ่นของเรา เพราะสภาพแวดล้อมแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน มีความต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน น้ำหมักชีวภาพจึงจำเป็นต้องมีความแตกต่างกันตามท้องถิ่น.


    ดังนั้น มาทำน้ำหมักชีวภาพใช้กันนะค่ะ เริ่มต้นจากภายนอกก่อน เมื่อมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจถึงธรรมชาติการหมักแล้ว ค่อยมาทำน้ำหมักเอนไซม์ใช้ภายในกันนะค่ะ

    เคล็ดลับวิชา-น้ำพลังเอนไซม์บำบัดดื่มเพื่ออะไร???

    น้ำพลังเอนไซม์บำบัดดื่มเพื่ออะไร??? คำถามนี้ แทบทุกคนที่โทรมาจะต้องถาม
    ก่อนอื่น ของอธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับหลักทางการแพทย์ทางเลือกกันก่อนสักนิด
    ศาสตร์ทางด้านเอนไซม์บำบัด ของแพทย์ทางเลือก กล่าวไว้ว่า "สาเหตุของการเสื่อมของร่างกาย และการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน มะเร็ง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ล้วนแล้วแต่เกิดจากภาวะที่ร่างกายพร่องเอนไซม์ ดังนั้นการเสิรมเอนไซม์โดยการกิน จึงเป็นวิธีหนึ่งในการบำบัดป้องกันการเกิดโรคได้อีกทางเลือกหนึ่ง ในการดูแลร่างกาย"


    และก่อนที่จะตอบคำถามว่า น้ำพลังเอนไซม์บำบัดดื่มเพื่ออะไร ขอถามกลับว่า คุณรู้จักไหมว่า เอนไซม์คืออะไร และมีหน้าที่อย่างไรในร่างกาย


    ซึ่งเราจะกล่าวแบบง่าย ๆ ก็คือ เอนไซม์เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่้งที่ทำหน้าที่ในการเร่งปฏิกิริยาต่าง ๆ ในร่างกายเรา ไม่ว่าจะเป็นการเร่งการย่อยอาหาร การสร้างเซลล์ การผลักอาหารเข้าเซลล์ การขับสารพิษออกจากเซลล์ การฟื้นฟูเซลล์ และปฏิกิริยาชีวเคมีต่าง ๆ ในร่างกาย พูดได้ว่าเอนไซม์มีบทบาทแถบทุกส่วนทุกเซลล์ในร่างกาย


    แต่ถ้าไม่มีเอนไซม์ จะเกิดอะไรขึ้น คิดกันแบบง่าย ๆ ก็คือ อาหารที่เรารับประทานเข้าไปก็จะไม่ย่อย หรือย่อยสลายช้ามาก จนเกิดการหมักหมมเน่าเหม็น และเกิดเป็นสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งร่างกายก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ขับออกก็ไม่ได้ เมื่อเซลล์ไม่ได้รับสารอาหาร มีแต่ของเสีย ร่างกายก็อ่อนแอ และเกิดโรคจนถึงตายในที่สุด


    เห็นไหมว่าเอนไซม์มีบทบาทสำคัญจริง ๆ ในร่างกาย


    เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าเอนไซม์มีความสำคัญและมีบทบาทอย่างไรแล้ว เราก็คงเริ่มเห็นถึงความสำคัญของมันแล้ว แต่บางท่านอาจมีคำถามเพิ่มขึ้นมาอีกว่า ร่างกายเราก็มีการสร้างเอนไซม์อยู่แล้ว แล้วเอนไซม์ที่เราเสริมเข้าไปจะใช้ได้หรือ แล้วจะเหมือนกันไหม???


    ตอบแบบง่าย ๆ ว่าเอนไซม์บางชนิดร่างกายเราผลิตขึ้นเอง แต่บางชนิดก็ได้จากอาหารที่เรากินเข้าไปอยู่แล้ว และเอนไซม์ที่ร่างกายเราผลิตขึ้นเองนั้น ก็ได้มาจากกรดอะมิโนที่ย่อยสลายมาจากอาหารที่เรากินเข้าไปนั้นเอง แสดงว่า.... เอนไซม์ที่ร่างกายผลิตขึ้น และเอนไซม์ที่กินเข้าไปเสริมก็มาจากแหล่งเดียวกันคืออาหารนั้นเอง การเสริมเอนไซม์จึงสามารถเสริมได้ทั้งการกินอาหารที่สดใหม่ และการกินอาหารที่มีเอนไซม์สูง ๆ หรือสารสกัดเอนไซม์นั้นเองได้เช่นกัน


    ใครมีคำถามอะไรอีก ยกมือขึ้นได้นะ.... (ถ้าไม่มี) ขอกลับมาตอบคำถามที่ว่าน้ำพลังเอนไซม์บำบัดนี้ดื่มเพื่ออะไร???


    น้ำพลังเอนไซม์บำบัด ดื่มเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย โดยที่น้ำพลังเอนไซม์จะมีหลักการทำงาน 4 หลักดังนี้
    1. ความเป็นกรดผลไม้ จะช่วยในการปรับสมดุลความเป็นกรดด่างของของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด จึงช่วยในการฟอกเลือก ทำความสะอาดเลือด ช่วยละลายไขมันในเลือด ทำความสะอาดหลอดเลือด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการบีบตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อลำไส้ ช่วยปรับสมดุลของการขับถ่าย เป็นต้น
    2. เอนไซม์จากผลไม้ และเอนไซม์ที่ได้จากจุลินทรีย์ในการหมัก จะช่วยในระบบการย่อยอาหาร โดยช่วยกระตุ้นการย่อยสลายอาหารและสารที่ตกค้างในร่างกาย อีกทั้งยังสามารถดูดซึมเข้ากระแสเลือดไปกระตุ้นการผลักสารอาหารให้เข้าเซลล์ และขับของเสียออกจากเซลล์ เป็นต้น
    3. สารอาหารโมเลกุลขนาดเล็ก และวิตามินต่าง ๆ ที่ได้จากกระบวนการหมัก ทั้งพวกกรดอะมิโน วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเอ ต่าง ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการย่อยแล้ว ร่างกายสามารถดูดซึมเข้ากระแสเลือดและส่งผ่านไปยังเซลล์ได้ทันที ทำให้รู้สึกสดชื่น และฟื้นฟูสภาพของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการพักฟื้นได้อย่างดี 
    4. จำนวนประจุไอออนสูง ทำให้เกิดกระบวนการไอออนไนสเซชั่น หรือ การแลกเปลี่ยนประจุ ทำให้สามารถผลักดันสารอาหารเข้าสู่เซลล์ และขับของเสียออกจากเซลล์ได้อย่างรวดเร็ว เหมือนเป็นพลังงาน ATP ในร่างกายนั้นเอง ทำให้เซลล์ได้รับสารอาหารอย่างรวดเร็ว  ร่างกายจึงฟื้นฟูได้ดี
    หลักการทั้ง 4 นี้ จึงทำให้เกิดทั้งกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ ให้พลังงานแก่เซลล์ และขับของเสียออกจากเซลล์ และลดการทำงานของเซลล์และอวัยวะบางส่วน ทำให้เซลล์และอวัยวะนั้นได้พักผ่อน และฟื้นฟูร่างกายต่อไป


    จากที่อธิบายมา ถ้ายังไม่เข้าใจ ตอบแบบง่าย ๆ อีกครั้งว่า น้ำพลังเอนไซม์บำบัดดื่มเพื่อ..... เสริมเอนไซม์และสารอาหาร ชะล้างสารพิษ และฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง 


    แล้วอย่างนี้ต้องดื่มไปตลอดหรือเปล่าค่ะ??? แนะมีคนถามมาจนได้อีกคำถาม เมื่อกล้าถามก็ต้องกล้าตอบ


    การกินหรือดื่มอาหารซ้ำ ๆ ไปตลอดอย่างไรก็ไม่ดี เฉกเช่นเดียวกัน การดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด ดื่มเพื่อจุดประสงค์อะไร ก่อนดื่มก่อนกินเราก็ควรต้องคิดก่อน ไม่ใช่สักแต่ว่าดื่ม เพราะเขาบอกว่าดี 


    น้ำพลังเอนไซม์บำบัด จริง ๆ แล้วดื่มได้ตลอด เพราะไม่มีตกค้างในร่างกาย ร่างกายสามารถทำลายและขับออกไปได้ แต่การดื่มให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายเราจริง ๆ คือ การดื่มไปเพื่อปรับสมดุลและฟื้นฟูร่างกา ย เมื่อร่างกายแข็งแรงฟื้นฟูสภาพได้แล้ว เราจะดื่มต่อไปหรือหยุดก็ได้ ดื่มต่อไป ก็ช่วยได้ลดการทำงานของเซลล์บางอย่างของร่างกาย แต่ที่เหลือร่างกายก็ขับออก หยุดดื่มก็ได้เมื่อร่างกายกลับมาแข็งแรงเซลล์ทำงานได้เต็มที่แล้ว แต่สักพักร่างกายและเซลล์ก็จะอ่อนแออีก ก็ต้องกลับมาเสริมมาดื่มอีก


    ก็ลองพิจารณาเอาเองเถอะว่าจะเอาแบบไหน มิได้มีข้อจำกัดว่าดื่มแล้วต้องดื่มตลอด อยากให้ถามตัวเอง ร่างกายของตนเอง พิจารณาเอาเองเถอะว่าตอนนี้เป็นอย่างไร แข็งแรง ทำงานเองได้ดีไหม หรือต้องการอะไรไปเสริมไปช่วย


    บ้านคนรักสุนทราภรณ์ 
     



    วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

    สมุนไพรผลไม้ชนิดต่างๆ 07


    -
    เครื่องดื่มพลังเอนไซม์บำบัด

    น้ำเอนไซม์ผลไม้รวม (ไม่ใช่ยา) หรือเรียกว่า น้ำพลังเอนไซม์บำบัด เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ
    เป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูสุขภาพ อุดมด้วยสารอาหารวิตามิน A, D, E, K, B รวม, C, กรดอะมิโน ฮอร์โมนและอื่น ๆ อีกมาก สกัดจากผลไม้รวม และลูกยอป่า ซึ่งมีโอถสสารจำนวนมากผ่านขบวนการหมักบ่มนานหลายปี เพื่อลดขนาดโมเลกุลให้เล็กลงจนสามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายและเร็วขึ้น รู้สึกได้ถึงการผ่อนคลาย
    ประโยชน์
    • เพิ่มภูมิคุ้มกัน 
    • สลายสารพิษ ฟอกเลือด 
    • ปรับสมดุล บำรุงธาตุต่าง ๆ 
    • ช่วยการย่อยอาหาร ย่อยไขมัน ลดหน้าท้อง 
    • คลายกล้ามเนื้อ 
    • ดื่มก่อนนอนทำให้หลับสบาย แก้ปวดเมื่อย ท้องผูก ท้องอืด (ท้องเสียรุนแรงดื่มเข้มข้นครึ่งแก้ว) 
    • ดื่มได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง โรคไต โรคเก๊าส์ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดัน สะเก็ตเงิน ไทรอยด์ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ หอบหืด อัมพฤกอัมพาต โรค SLE โรคเอดส์ และโรคอื่น ๆ 
    • ทุกโรคควรดื่มเป็นประจำทุกวันและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำในบทบัญญัติ 10 ประการของชมรมควบคู่ไปด้วยจะดีมาก
    ส่วนประกอบที่สำคัญ
    ผลไม้รวมกันมากกว่า 20 ชนิด 60% น้ำผึ้งความชื่นต่ำ 20% น้ำพลังแม่เหล็ก 20% (ไม่เจือสีไม่แต่งกล่น ไม่ใส่สารกันบูด)


    วิธีดื่ม 
    สูตร Multi Fruit Enzyme ขนาด 750 ml ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ (หรือมากกว่า) ผสมน้ำ 1 แก้ว หรือผสมน้ำผึ้งหรือผสมน้ำผลไม้ น้ำผักปั่น วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร และก่อนนอน


    สูตร N-2000 ขนาด 650 ml ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 แก้ว ไม่ต้องผสมน้ำผึ้ง ทานก่อนอาหารทุกมื้อ และก่อนนอน


    สูตร Premier Fruit Enzyme ขนาด 187 ml ใช้ 1 หยด ผสมน้ำ 1 แก้ว ดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ หรือดื่มได้ทั้งวัน


    วิธีการเก็บรักษา เก็บในที่ร่มไม่ต้องแช่เย็น หรือ เมื่อเปิดแล้ว ควรรับประทานให้หมดภายใน 2 เดือน (เพื่อป้องกันอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารอาหารแล้วตกตะกอน)


    วันหมดอายุ ยิ่งเก็บนาน คุณภาพยิ่งเพิ่มขึ้น จะมีรสเปรี้ยวมากขึ้น ถ้าชอบหวานก็ให้เติมน้ำผึ้ง อาจมีฝ้าขาว หรือวุ้น (เจลลาติน) เกิดขึ้นก็ยิ่งดี หรือมีตะกอนมากขึ้น (ไม่จำเป็นต้องเขย่าขวด)


    หมายเหตุ รสชาด สี กลิ่น ไม่คงที่ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมและเวลา บ้างขวดเปรี้ยวมาก บ้างขวดซ่า บ้างขวดจืด บ้างขวดขม (ขึ้นกับธรรมชาติของการหมัก)


    ผลข้างเคียง ไอ อาเจียน ท้องเสีย มีผื่นขึ้นคัน บวม และอื่น ๆ ไม่ต้องกตใจเป็นการขับพิษ และหายได้เอง (อาจเกิดขึ้นได้เฉพาะบางคน) อ่านวิธีการแก้ไขอาการต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ใน หนังสือน้ำผักปั่น


    ขั้นตอนการหมักเอนไซม์ด้วยผลไม้
    กรรมวิธีหรือขั้นตอนการหมักเอนไซม์จากผลไม้

    โดยชมรมบ้าน(รักษ์)สุขภาพ

    สูตร ดร.รสสุคนธ์



    (ภาพประกอบจากการปฏิบัติจริง)



    ขั้นตอนแรก

    เตรียมผลไม้ เพียง 1 ชนิดสำหรับใช้หมักทำน้ำเอนไซม์จากผลไม้

    เคล็ดลับ ควรเลือกผลไม้เนื้อขาว จะให้สารอาหารมาก และกระบวนการหมักจะสมบูรณ์ดี เช่น แอปเปิล, กล้วยหอม, องุ่น, ส้มโอ เป็นต้น

    ข้อควรระวัง
    1. ผลไม้ที่นำมาใช้ควรเป็นผลไม้สุกเท่านั้น เพราะผลไม้ดิบจะทำให้เกิดเมทานอลที่เป็นอันตรายต่อร่างกายสูง

    2. ไม่ควรหมักทุเรียน เพราะจะเกิดก๊าซมาก และเกิดการระเบิดได้

    3. ผลไม้จำพวกมะม่วงสุก สับปะรด มะเขือเทศ ถ้านำมาหมักจะเกิดก๊าซมาก ต้องระวังเป็นพิเศษ

    หมายเหตุ

    ผลไม้ทุกชนิด ควรแช่ในน้ำเอนไซม์แช่ผักไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนำมาหมัก โดยใช้อัตราส่วนน้ำเอนไซม์แช่ผัก 1 ฝา ผสมกับน้ำสะอาด 3 ลิตร แช่ผลไม้ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงก่อนนำมาใช้




    ขั้นตอนที่ 2

    เทน้ำผึ้งความชื้นต่ำ (20%) จำนวน 1 กิโลกรัม (780 ml.) ลงไปในแกลลอนขนาด 5 ลิตร ที่เตรียมไว้ แล้วเติมน้ำสะอาดลงไปให้ท่วมน้ำผึ้ง เขย่าให้เข้ากัน

    เคล็ดลับ การหมักเอนไซม์ผลไม้สำหรับดื่ม ควรใช้น้ำผึ้งเท่านั้น เพราะน้ำผึ้งมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่คงความอ่อนเยาว์ให้กับผู้รับประทาน อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่าน้ำตาล

    หมายเหตุ
    สามารถใช้น้ำอ้อยแทนน้ำผึ้งได้ แต่ต้องเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น อีกทั้งจะได้สารอาหารน้อยกว่าน้ำผึ้ง แต่ไม่ควรใช้น้ำตาล เพราะจะทำให้กระบวนการหมักเกิดแอลกอฮอล์ได้มากกว่าน้ำผึ้ง และเป็นอันตรายต่อไต




    ขั้นตอนที่ 3

    การหั่นผลไม้ที่ใช้ในการหมัก โดยหั่นให้มีขนาดเล็กพอสมควร (หากสับหรือบดใส่ จะทำให้เกิดตะกอนในปริมาณมาก และยากต่อการแยกน้ำเอนไซม์และกากออกจากกัน)

    เคล็ดไม่ลับ

    1. หากพบผลไม้ที่ช้ำหรือมีส่วนที่เน่าเล็กน้อยไม่ต้องหั่นทิ้ง สามารถใช้หมักได้เลย ไม่เปลื้อง และทำให้กระบวนการหมักเกิดได้เร็วด้วย

    2. ผลไม้ที่สุกจนงอม เหมาะมากในการหมักเพราะจะทำให้ได้สารอาหารสูง อีกทั้งกระบวนการหมักเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น เนื่องจากในเนื้อผลไม้มีเอนไซม์อยู่จำนวนมาก และเนื้อผลไม้ก็พร้อมที่จะสลายเป็นสารอาหารแล้ว



    ขั้นตอนที่ 4

    ใส่ผลไม้ที่หั่นแล้วลงไปในแกลลอนที่มีน้ำผึ้งที่ละลายน้ำอยู่ใส่ลงไปให้ได้ 1/3 ของแกลลอน ไม่ต้องใส่เยอะเกินไป

    เคล็ดไม่ลับ

    ควรหมักเอนไซม์โดยใช้ผลไม้เพียงชนิดเดียว เพื่อให้ได้เอนไซม์เข้มข้นหรือหัวเชื้อของผลไม้ชนิดนั้น แต่ถ้าต้องการกินเอนไซม์จากผลไม้หลาย ๆ ชนิด เมื่อหมักจนครบ 4 ปี ขึ้นไป ให้นำน้ำเอนไซม์จากผลไม้แต่ละชนิดมาผสมกัน โดยเราต้องการสรรพคุณอย่างไร ก็เลือกเอาเอนไซม์ที่มีสรรพคุณนั้นเป็นหลัก โดยใช้อัตราส่วน เอนไซม์หลัก 40% ส่วนตัวอื่น ๆ ก็แล้วแต่ 10% หรือ 5% เป็นต้น






    ขั้นตอนที่ 5

    เติมน้ำสะอาดให้ท่วมผลไม้ และเหลือช่องว่างไว้ด้านบนประมาณ 2 ข้อนิ้ว (ดังรูป) แล้วปิดฝาให้สนิท จะเขย่าให้เข้ากัน หรือไม่ก็ได้

    หลังจากนั้นติดชื่อชนิดของผลไม้ วันที่ทำการหมัก และวันที่จะครบอายุ 6 เดือน


    ขั้นตอนที่ 6

    การหมักเอนไซม์ เราจะเก็บไว้ในที่ร่ม ลมพัดผ่านได้ ไม่อับ โดยจะทำการหมักทิ้งไว้ 6 เดือน

    ในช่วงเดือนแรก ต้องมาเปิดฝาเพื่อระบายแก๊ซออกทุก ๆ 1 -2 วัน

    ในช่วงเดือนที่สอง เปิดฝาระบายแก๊ซออกทุก ๆ 3 - 4 วัน

    พอครบ 6 เดือน นำมาขยายต่อเป็นหัวเชื้อ ดังนี้



    การขยายหัวเชื้อ

    ขวดบน คือขวดที่หมักครบ 6 เดือน นำมาถ่ายน้ำเอนไซม์ออกใส่ขวดใหม่ โดยวิธีลักน้ำ (ใช้สายยาง)

    สำหรับขวดเดิม (เหลือผลไม้และน้ำเอนไซม์เล็กน้อย) ให้เติมน้ำผึ้งละไปประมาณ 1/2 ลิตร และเติมน้ำลงไปจนเต็ม เหลือช่องว่างไว้ 2 ข้อนิ้ว หมักต่อไปอีก 6 เดือน (จนครบ 3 ครั้ง)

    ****ครั้งสุดท้าย ให้หมักทิ้งไว้จนครบ 6 ปี จึงนำมากรองผสมน้ำรับประทาน เป็นยอด น้ำพลังเอนไซม์บำบัด

    สำหรับขวดใหม่ (ที่แบ่งน้ำเอนไซม์ออกมาได้ 1/3 หรือเกือบครึ่งขวด) ให้เติมน้ำผึ้ง 1/2 ลิตร และเติมน้ำลงไปจนเต็ม เหลือช่องว่างไว้ 2 ข้อนิ้ว หมักต่อไปอีก 6 เดือน (จนครบ 3 ครั้ง)

    ทำต่อไปเรื่อย ๆ จนแกลลอนไหนหมักครบ 4 - 6 ปี แล้วจึงค่อยนำมารับประทานได้


    อัตราส่วนในการหมักน้ำเอนไซม์ตามหนังสือ ซึ่งสำหรับปฏิบัติจริงก็ดูในเวปค่ะ อาจต่างกันบ้างไม่ต้องงงนะค่ะ เพราะอัตราส่วนเป็นการประมาณการณ์ไม่ต้องตรงมากก็ได้ เพราะธรรมชาติไม่เที่ยง ไม่แน่นอนค่ะ


    เคล็ดไม่ลับ

    การหมักเอนไซม์สำหรับรับประทาน หากหมักเกิน 6 ปี ขึ้นไป พบว่าขนาดของโมเลกุลของสารอาหารจะมีขนาดเล็กมาก ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว และพบปริมาณของแอลกอฮอล์น้อยมาก อีกทั้งยังเป็นแอลกอฮอล์ชนิดออร์แกนิคแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

    ปล. หากไม่ต้องการหมักผลไม้ใหม่ ก็สามารถนำหัวเชื้อน้ำพลังเอนไซม์สูตรเข้มข้นไปใช้หมักเพิ่มและเก็บไว้กินได้ โดยไม่จำเป็นต้องกรอง เพราะจะมีความขุ่นน้อยกว่าการหมักด้วยหัวเชื้อที่ทำจากผลไม้ตรง


    แบบเข้มข้น สำหรับขยายต่อไปเรื่อย ๆ ได้ 3 ครั้ง คือ

    หัวเชื้อ ต่อ น้ำผึ้ง ต่อ น้ำสะอาด ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ต่อ 1 ส่วน ในขวดขนาด 1 ลิตร
    หมักนาน 3 เดือน แล้วนำไปต่อได้ หรือนำไปหมักกับผลไม้เป็นหัวเชื้อได้

    แบบสำหรับรับประทาน คือ

    หัวเชื้อ ต่อ น้ำผึ้ง ต่อ น้ำสะอาด ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ต่อ 5 ส่วน ในขวดขนาด 5 ลิตร
    • หมักนาน 15 วัน รับประทานได้ทันที
    • หมักต่อไปจนครบ 6 เดือน นำไปขยายได้
    • หมักต่อไป 6 ปี โดยเติมน้ำผึ้งทุก ๆ 6 เดือน หรือทุก 1 ปี จนได้ยอดน้ำพลังเอนไซม์บำบัด

    บ้านคนรักสุนทราภรณ์