ไปที่เว็บ_พระไตรปิฏกฉบับอ่าน..

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สมุนไพรผลไม้ชนิดต่างๆ 09


-

ภาวะพร่องเอนไซม์

ภาวะพร่องเอนไซม์หรือภาวะที่ร่างกายขาดเอนไซม์ (Enzyme Deficiency Conditions) คืออะไร
ภาวะพร่องเอนไซม์ตามหลักของแพทย์ทางเลือก คือ ภาวะที่ร่างกาย อวัยวะ หรือเซลล์มีประสิทธิภาพลดลงทำให้มีการผลิตเอนไซม์ในร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะตกค้างของของเสียในร่างกาย ทำให้เกิดภาวะโรคเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกาย หรือโรคภัยนั้นเอง


อาการที่แสดงว่าร่างกายขาดเอนไซม์ (Enzyme Deficiency)
เราสามารถรู้สึกถึงอาการ (Symptom) เหล่านี้ได้เอง แต่ไม่เคยรู้ว่าร่างกายต้องการอะไร อาการเหล่านั้น ได้แก่
  • รู้สึกเหนื่อยหลังจากกินอาหารมื้อหนัก
  • อ่อนเพลียเป็นประจำ (Chronic Fatigue Syndrome)
  • ท้องผูก
  • ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ บางครั้งมีอาการจุกเสียด
  • ลมแน่นท้อง ผายลมมีกลิ่นเหม็น
  • อุจจาระจมน้ำ และอุจจาระเหม็นมาก
  • มีกลิ่นปาก
  • มีอาการของโรคภูมิแพ้ง่าย บางครั้งถึงขนาดหอบหืด
  • เวลาเป็นแผลจะหายช้า
  • น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย เป็นต้น
อาการเหล่านี้แพทย์ท่านเลือกจะวินิจฉัยว่าท่านกำลังขาดเอนไซม์ สำหรับแพทย์แผนปัจจุบันจะดูจากอาการเหล่านี้ จึงวินิจฉัยว่ามีภาวะขาดเอนไซม์ คือ
  1. ตับอ่อนบวม
  2. เม็ดโลหิตขาวเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติหลังกินอาหาร 30 นาที
  3. น้ำลายมีฤทธิ์เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 7)
  4. ในปัสสาวะมีสารพิษมาก เกิดจากอาหารไม่ย่อยจึงบูดในลำไส้ใหญ่ ร่างกายจะดูดซึมพร้อมกับน้ำเข้าไปในกระแสเลือด ตับและไตจะกรองสารพิษเอาไว้ และจะขับสารพิษนี้ทิ้งออกทางปัสสาวะ
  5. ระดับเอนไซม์ต่ำกว่าปกติในเลือด
  6. ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย
ในอดีต เมื่อเราพูดว่าร่างกายขาดเอนไซม์ คือสภาวะอาหารไม่ย่อยแต่เมื่อศึกษาค้นคว้ามากขึ้น ในปัจจุบัน เราพบอาการต่างๆ อีกมากมาย เราสามารถแบ่งสภาพของการมีเอนไซม์บกพร่องออกได้เป็น 3 ชนิดคือ
   1. สภาพของการขาดเอนไซม์โปรตีเอส (ProteaseDeficiency Conditions)
   2. สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions
   3. สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency  Conditions)

สภาพของการขาดเอนไซม์โปรตีเอส (Protease Deficiency Conditions)
คือ เราจะไม่สามารถย่อยพวกเนื้อสัตว์หรือโปรตีนได้ จึงเกิดอาการของโรคขาดโปรตีน (Protein Deficiency Symptom) ทำให้เลือดมีความเป็นด่างสูงมากเกินไป อาจมากกว่า pH 8.0 (Alkaline Excess) ซึ่งปกติเลือดมีค่า pH เท่ากับ 7.4 ทำให้ร่างกายขาดความสมดุล (Homeostasis) เพราะด่างสูง กลายเป็นต้นเหตุของความรู้สึกกระวนกระวาย (Anxiety) จนบางคนต้องใช้ยากล่อมประสาทช่วย

ดังนั้นควรให้กินเอนไซม์เสริมชนิดโปรตีเอส ก็จะช่วยให้ดีขึ้น  ถ้าโปรตีนมีจำนวนต่ำในเลือด (Protein Deficiency) ทำให้เกิดอาการขาดแคลนแคลเซียมร่วมด้วย (Calcium Deficiency) แคลเซียมจะต้องอาศัยเกาะติดโปรตีนเมื่อเวลาไหลเวียนอยู่ในกระแสโลหิต  ทำให้มีอาการข้ออักเสบ (Arthritis) ตามมาพร้อมโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) หมอนรองกระดูกเสื่อม (Degenerative Disc Problem) ฯลฯ ร้อยละ 45 ของโปรตีนในรูปของกรดอะมิโนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในตับ การที่โปรตีนไม่สามารถถูกย่อยได้จึงทำให้เกิดสภาวะน้ำตาลกลูโคสต่ำในเลือด (Hypoglycemia) ตามมา เป็นเหตุให้สมองขาดน้ำตาลกลูโคส เกิดความรู้สึกหงุดหงิด (Moody) รำคาญ และฉุนเฉียวง่าย

การขาดโปรตีนในเลือดทำให้เกิดอาการบวมทั้งตัว (Edema) การย่อยโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้มีกากอาหารที่ไม่ย่อย (Undigested Protien) ไปสะสมบริเวณลำไส้ใหญ่ (Colon) เป็นสาเหตุการเกิดสารพาลำไส้ใหญ่อักเสบ (Mucous Colitis) ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) และอาจถึงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) ได้ โรคตามมาที่คาดไม่ถึงคือ ในเด็กมักเป็นโรคช่องหูอักเสบเรื้อรัง หรือ หูน้ำหนวก (Otitis Media) กับโพรงจมูกของใบหน้าอักเสบ (Sinusitis) การรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะและใช้เอนไซม์โปรตีเอสร่วมด้วยจะทำให้หายเร็วขึ้น
ผลของการขาดโปรตีเอสที่กระทบโดยตรง อีกประการก็คือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดการอักเสบได้ง่าย เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหลายเป็นโปรตีนหรือบางชนิดก็มีโปรตีนเป็นตัว หุ้ม และโปรตีเอสเป็นเอนไซม์ที่สามารถย่อยเยื่อหุ้มที่เป็นโปรตีนให้แตกออก เพื่อให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายเข้าถึงตัวและทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้โดยง่าย

สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions)

เอนไซม์อไมเลสย่อย แป้ง ข้าว ให้เป็นสารประกอบเชิงเดี่ยว (Monosaccharide) เช่น น้ำตาลกลูโคส (Glucose) และย่อยเม็ดโลหิตขาวที่ตาย (คือ หนอง Pus)ให้หมด ไปดังนั้นถ้าร่างกายขาดเอนไซม์อไมเลส ท่านจะเกิดเป็นฝี (Abscess) ได้บ่อยๆ ผู้ป่วยที่ปวดฟัน เหงือกรอบฟันเป็นหนองง่ายมาก การที่กินหวานจัดๆ ร่างกายต้องใช้เอนไซม์อไมเลสมากจนผลิตไม่ทัน จึงทำให้เป็นฝีง่าย นอกจากนั้นยังเป็นที่ปอดและผิวหนังได้ง่ายอีกด้วย

ปอดและผิวหนังเป็น อวัยวะที่สัมผัสกับโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยมลภาวะ การขาดเอนไซม์อไมเลสจึงทำให้เกิดอักเสบได้ง่าย ถ้าเป็นที่ปอดอาจจะแสดงอาการของโรคหืด (Asthma) และถุงลมพอง (Emphysema) ส่วนผิวหนังจะมีอาการของโรคผิวหนังเป็นสะเก็ดพุพอง มีน้ำเหลือง (Eczema) หรือเป็นโรคผิวหนังชื่อ สะเก็ดเงิน (Psoriasis) และโรคเริม (Herpes)การรักษาให้ใช้เอนไซม์เสริมเพื่อกินร่วมกับยา โดยให้มีเอนไซม์อไมเลสในสัดส่วนที่มากกว่าเอนไซม์อย่างอื่น

สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency Conditions)เอนไซม์ ไลเปสมีหน้าที่ย่อยไขมันและวิตามินชนิดละลายในไขมัน การขาดไลเปสจึงเกิดโคเลสเตอรอลสูงในเลือด(High Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์สูง (High Triglyceride) เป็นต้นเหตุของน้ำหนักตัวเกินกว่าปกติ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (Atherosclerosis) ความดันโลหิตสูง ตามมาด้วยโรคหัวใจขาดเลือด (Heart Inflection) โรคลมปัจจุบันหรือสมองขาดเลือด (Stroke)
การขาดเอนไซม์ไลเปส ทำให้ความสามารถของเยื่อหุ้มเซลล์บกพร่อง นั้นคือ สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายไม่อาจจะซึมผ่านเข้าเซลล์ ส่วนของเสียภายในเซลล์ก็ขับออกมาทิ้งข้างนอกไม่ได้
สำหรับอาการที่พบ บ่อยๆ อีกอย่างคือ  กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง (Muscle Spasm) โดยเริ่มเจ็บร้าวจากบริเวณหน้าอก ไหล่ ลามมาที่คอ ดูคล้ายๆ คอเคล็ด บางครั้งมีกล้ามเนื้อเกร็งที่ลำไส้ใหญ่ (Spastic Colon) อาการต่างๆ ทั้งหมดนี้ ถ้ากินเอนไซม์ไลเปสก็จะช่วยให้ทุเลาขึ้น

น้ำพลังเอนไซม์ทุกสูตร ของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ผ่านการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการพบว่า...
มีเอนไซม์อย่างน้อย 7 ชนิด ดังนี้

  1. Protease เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยโปรตีน
  2. Amylase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยแป้ง คาร์โบไฮเดรต
  3. Invertase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต
  4. B-gluconase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต
  5. Phytase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยไขมัน
  6. Cellulase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยไฟเบอร์ ใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต
  7. Xylanase เอนไซม์ในกลุ่มของเอนไซม์ย่อยแร่ธาตุ วิตามิน
ดังนั้น จึงกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า น้ำเอนไซม์จากผลไม้รวมของดร.รสสุคนธ์ จึงเป็นการเสริมเอนไซม์ให้กับร่างกายได้ทั้ง 3 กลุ่ม แก้ปัญหาภาวะพร่องเอนไซม์ หรือโรคที่เกิดจากภาวะพร่องเอนไซม์ได้โดยรวม ซึ่งเราจะพบได้ว่า ร่างกายของเรามิได้ขาดเพียงเอนไซม์ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น บางคนเป็นหลายโรค ซึ่งก็เกิดจากภาวะพร่องเอนไซม์หลายตัวเช่นกัน

การดื่มน้ำเอนไซม์จากผลไม้รวม จึงเป็นเพียงการเสริมเอนไซม์และสารอาหารที่มีขนาดเล็กพร้อมดูดซึมให้กับเซลล์ทันที ดังนั้นจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่คุณสามารถเลือกใช้ในการฟื้นฟู บำบัด บำรุง ดูแลสุขภาพของคุณ และคนที่คุณรักได้ค่ะ
แต่อย่าลืม>>>>>  เอนไซม์ ไม่ใช่ยา เป็นเพียงโภชนาการบำบัดเท่านัั้น

หลักการดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัดเพื่อสุขภาพ

เครื่องดื่มน้ำพลังเอนไซม์บำบัด 

เป็นเครื่องดื่มสำหรับป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ มิใช่ยา ไม่สามารถใช้รักษาโรคได้ แต่สามารถฟื้นฟูเซลล์อวัยวะต่าง ๆ และร่างกาย รวมถึงภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ร่างกายบำบัดรักษาตนเองได้ ในแนวของธรรมชาติบำบัด

การดื่มน้ำพลังเอนไซม์ เพื่อบำบัด หรือ ฟื้นฟูสุขภาพ ตามหลักของชมรมบ้าน(รักษ์)สุขภาพ ต้องเริ่มต้นที่ 
  1. พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิต มาใช้ตามหลัก หลักบทบัญญัติ  10 ประการ
  2. มีความตั้งใจจริง ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และมีความเพียร ในการปฏิบัติตามคำแนะนำ
  3. มีความอดทน และพร้อมจะเรียนรู้รับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้น เพราะน้ำพลังเอนไซม์บำบัดในช่วงที่เข้าไปกระตุ้นการขับพิษของเซลล์ มักจะมีอาการข้างเคียง ซึ่งไม่ควรตื่นตกใจ ให้ติดต่อสอบถามผู้รู้ หรือดื่มต่อไปเพื่อเร่งการขับสารพิษให้ออกจากร่างกายให้เร็วที่สุด
  4. ดื่มน้ำพลังเอนไซม์ตามฉลาก หรือตามหลักการดื่มเฉพาะโรคที่สอบถามจากผู้รู้ของชมรม พร้อมเสริมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่่อร่างกายให้เพียงพอ
  5. ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 ลิตร ตามหลัก พลังน้ำบำบัด
หลักง่าย ๆ สำหรับผู้ดื่มเพื่อป้องกันสุขภาพ ยังไม่เจ็บป่วย
  1. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำดื่ม 250 มิลลิลิตร ดื่มก่อนอาหาร 30 -60 นาที เพื่อปรับสมดุลความเป็นกรดด่างในร่างกาย เพิ่มภูมิต้านทาน และฟื้นฟูสุขภาพ (ดื่ม เช้า กลางวัน เย็น)
  2. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ผสมในกับข้าวหรืออาหารก่อนรับประทาน 30 นาที ช่วยให้เจริญอาหาร ปรับเปลี่ยนโครงสร้างสารพิษในอาหาร
  3. น้ำพลังเอนไซม์บำบัด จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำดื่ม 250 มิลลิลิตร ดื่มหลังอาหาร 30 นาที ช่วยในการย่อย ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยลดน้ำหนัก (ดื่ม เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน)
  4. น้ำพลังเอนไซม์บำบัดสูตรเข้มข้น สามารถหยดใส่น้ำดื่มได้ตลอดทั้งวัน สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันสูง เพื่อเร่งในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะความดันต่ำ เนื่องจากสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่ควรดื่มด้วยวิธีนี้
.............................................................................................................................................................

เรื่องเล่าของผู้ป่วย - เอนไซม์กับชีวิตที่เหลืออยู่

เอนไซม์กับชีวิตที่เหลืออยู่

คุณพ่อของข้าพเจ้าเมื่อตอนอายุ 72 ปี ได้ป่วยและเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพ หมอวินิฉัยว่า เกล็ดเลือดต่ำ ตับแข็ง ไตวาย เส้นเลือดโป่งที่หัวใจ และเส้นเลือดในกระเพาะอาหารแตก ซึ่งได้รักษาโดยการให้ยาอุดเส้นเลือด ราคาเข็มละ 6,000 บาท 8 เข็ม ซึ่งก็ยังไม่ดีขึ้น หมอบอกว่าไม่สามารถรักษาได คงสิ้นในไม่กี่วัน

ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อไม่มมีทางก็ขอใช้เอ็นไซม์ที่ข้าพเจ้าดื่มทุกวัน โดยใช้หลอดฉีดเข้าทางปาก เนื่องจากคุณพ่อลิ้นแข็งและไม่รู้สึกตัวหลายวันแล้ว โดยป้อนเอ็นไซม์ตอนเช้า พอตกบ่ายท่านก็อาเจียนเป็นเลือดและหนองออกมามาก ๆ แล้วหลับไป หมอบอกว่าเป็นอาการช็อคเลือดซึ่งเป็นอาการสุดท้ายซึ่งแอมโมเนียจะขึ้นถึงสมองและสิ้นใจในที่สุด แต่เย็นนั้นเองท่านก็เริ่มรู้สึกตัว และพูดว่านอนหลับไปสบายมาก รู้สึกไม่อึดอัดท้อง ไม่เหมือนเมื่อตอนเข้าโรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นคงมีเลือดเต็มท้องอยู่ ในวันต่อมาหมอก็ให้ยารักษาตับอีก ซึ่งเมื่อท่านทานแล้วก็มีอาการสลึมสลือ ท้องอืด ตัวบวมอีกและก็ไม่รู้สึกตัว

ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจพาท่านกลับและหยุดยาจากแพทย์ทั้งหมด เริ่มต้นป้อนเอ็นไซม์และให้อาหารเหลวเนอเจอร์ ซึ่งเป็นเหมือนน้ำข้าวธัญพืช ท่านก็เริ่มระบายออก ท้องเริ่มยุบ เป็นอยู่ประมาณ 5 วัน ท่านก็ลุกนั่งบนเตียงได้ และเริ่มหัดยืนแล้วเดินแต่จะมีอาการหนาวสั่นในช่วง 2 สัปดาห์ ซึ่งดร.รสสุคนธ์บอกว่าเป็นอาการไขกระดูกเริ่มสร้างและเชื่อมต่อกัน ซึ่งจะทำให้หนาวสั่นสักพัก

วันสองวัน พอผ่านไปได้ 1 เดือน คุณพ่อก็เริ่มหัดเดิน และเดินได้ตามปกติ แต่ท่านก็ยังไม่ทานเนื้อสัตว์ หมู ไก่ เป็ด ยกเว้นปลาตลอด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเอ็นไซม์จะช่วยให้คุณพ่อของข้าพเจ้ารอดพ้นจากความตายมาได้ ซึ่งหลังออกจากโรงพยาบาล ท่านก็ได้ดื่มเอ็นไซม์มาตลอด สุขภาพท่านก็ดี ระบบย่อยอาหารได้ดี หลับสบาย ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าผู้สูงอายุสิ่งสำคัญต่อสุขภาพ คือ การขับถ่ายและการนอนหลับ.....นับว่าเอนไซม์ได้แก้ปัญหานี้เป็นอย่างดี
เอนไซม์ เป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตให้อยู่อย่างปกติสุข ดังนั้น การเสริมเอนไซม์ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน

เรื่องเล่าจากผู้ป่วย- เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายและเรื้อรัง

เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายและเรื้อรัง


โดยนางศิราณี  เอกัคคตาจิต จังหวัด บุรีรัมย์


   ครอบครัวเรามีลูก 4 คน  ผู้ชายล้วน  พ่อบ้านชื่อ น.พ. ศิริพงษ์  เอกัคคตาจิต  รับราชการทำงานโรงพยาบาลบุรีรัมย์  จบแพทย์จุฬาฯ รุ่น 24  ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ ซี 9  ข้าพเจ้าเป็นแม่บ้าน เต็มขั้น


และความไม่เที่ยงก็เกิดขึ้นเช้าวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2540  ตื่นเช้ามาดูลูกคนที่ 3 ชื่อ ศักดา  เอกัคคตาจิต  เขาบอกยืนได้ขาข้างเดียว  เจ็บข้อเท้าและเข่ามาก  เราก็ไม่คิดว่าเป็นอะไรมาก  เป็นจังหวะใกล้จะเปิดเทอมแรกของการเข้ามหาวิทยาลัย  เขาเรียนแพทย์ศิริราช  โดยสอบเข้าโควต้าแพทย์ศิริราช  และสอบแข่งขันวิชาเคมีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2538


ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลศิริราช 2 อาทิตย์  หมอให้ยาแก้ปวด  แล้วดูอาการ  ให้ใช้ไม้เท้าไปเรียนได้ 2 อาทิตย์  ปรากฏว่าอาการกำเริบ  อาการเจ็บขยายมาที่หัวไหล่ทั้ง 2 ข้าง  ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง


ครั้งนี้หมอตรวจอาการแล้วถามข้าพเจ้าว่ามีลูกกี่คน  ตอบว่ามี 4 คน  คนโตทำงานแล้ว  คนที่ 2 เรียนแพทย์ขอนแก่น  คนป่วยเป็นคนที่ 3  รู้สึกหมอที่ถามมีสีหน้าดีขึ้นเพราะเขารู้แล้วว่าโรคที่ลูกเป็นนี้เข้าข่ายปวดข้อ โรครูมาตอย  เพราะเจ็บข้อก่อนอายุ 17 ปี  ซึ่งค่อนข้างร้ายแรง  เพราะแม้แต่สถิติการรักษาต่างประเทศก็ยาก  มีให้ได้ก็ยาแก้ปวดเท่านั้น  เป็นมากหลายปีหน่อยก็จะพิการได้


หมอที่รักษาเขาก็บอกให้แม่ทำใจและให้ยาแก้ปวดมากินที่บ้าน ความรู้สึกของแม่แทบล่มสลาย  วันแล้ววันเล่าไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น  จุกปวดกระเพาะอาหารขนาดหนักเพราะกินยาแก้ปวด  กินยาเคลือบกระเพาะอาหารเต็มที่ก็ยังเจ็บท้องอยู่  นรกบนดินเป็นเช่นนี้เอง  กินยาแก้ปวดข้ออย่างแรงเช้าเย็น  แก้ได้ชั่วคราวต้องกินประจำ  แม้ปวดกระเพาะอาหารก็ต้องกิน  เจาะเลือดทำอีเอสอาร์อยู่ระหว่าง 50-90 มม./ชม.  ซึ่งค่าปกติไม่เกิน 20 มม./ชม. กินยามากจนหูอื้อ  แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น


ช่วงนี้เขาก็ไปอยู่วัดกับหลวงพ่อ 5-6 เดือน  ทำเรื่องลาเรียน 1 ปี  ระยะนี้ขาเริ่มลีบเพราะเจ็บ   ข้อเท้ามากต้องนอนกับที่  เราเป็นชาวพุทธ  ช่วงไหนที่จิตมีสมาธิก็อธิษฐานขอให้ลูกได้พบหนทางรักษาที่ถูกต้องด้วยเถิด  จะได้หยุดยาแก้ปวดนี้เสียที  ชีวิตที่เหลืออยู่นี้จะขวนขวายทำแต่ความดี


แล้วโชคก็มาถึง  วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541  ดร. พรพรรณ และคุณแฉซึ่งเป็นญาติกับอาจารย์นิศา เชนะกุล  ได้มาที่บ้านเพื่อไปกราบหลวงปู่ที่วัดเขาน้อย  เขามาเห็นลูกชายป่วย  เขาก็แนะนำให้ทานนมธัญพืช  และน้ำผักปั่น  โดยทานนมธัญพืชก่อนอาหารวันละ 1 แก้ว  และน้ำผักปั่นวันละ 4-5 แก้ว  ทานได้ 20 วัน  หมอก็ให้เจาะอีเอสอาร์ดู  ปรากฏว่าอีเอสอาร์ลดเหลือ 36 มม./ชม.  ลูกชายก็ร้องออกมาว่าเขาคงรอดตายและหายได้


จากการทานอาหารนี้ก็เริ่มมีกำลังใจ  รับประทานนมธัญพืชและน้ำผักปั่นมากขึ้น  กินนมธัญพืชและน้ำผักปั่นนอย่างละ 6-7 แก้วทุกวัน  และแช่น้ำร้อนสลับน้ำเย็นอย่างละ 3 นาที  และเริ่มไปอยู่วัดอีกเพื่อจะได้อยู่กับธรรมชาติ  นอนหัวค่ำ (3 ทุ่ม)  และรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด  พอทานได้ 1 เดือน ก็หยุดยาทุกชนิด  อีเอสอาร์ก็ลดลงเรื่อย ๆ เหลือ 20 มม./ชม.  ต่อมาก็เหลือ 12 ก็เท่ากับคนปกติ


เจาะอีกครั้งหนึ่งก่อนไปเรียนวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2541  ค่าอีเอสอาร์เท่ากับ 1 มม. ต่อ ชม.  เม็ดเลือดแดง จาก 33% เป็น 48%  เม็ดเลือดขาว จาก 13,500 ก็เหลือ 6,500  พอเรียนไปได้ 5-6 เดือน  เขาก็สามารถบริจาคเลือดให้กับโรงพยาบาลศิริราชได้  ญาติพี่น้องใกล้ชิดแม้นเพื่อนหมอด้วยกันก็รู้สึก เหมือนปาฏิหารย์  ใครจะคาดคิดว่าจะหายจากโรคด้วยอาหารดังกล่าวนี้




ข้าพเจ้าจึงต้องการเผยแพร่ให้ผู้ที่มีอาการปวดข้อเรื้อรังลองมาดื่มน้ำผักปั่นและนมธัญพืชอย่างละ 8-12 แก้วต่อวัน  เพื่อไม่ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อยาแก้ปวดข้อและยาป้องกันโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล  ซึ่งต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ  ทำให้เสียดุลการค้าระหว่างประเทศ  และให้นอนแต่หัวค่ำ 3 ทุ่ม ทำจิตใจให้เบิกบาน  นั่งสมาธิ  ถ่ายอุจจาระทุกวันโดยกินอาหารที่มีกากใย  ซึ่งเป็นอาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านขบวนการปรุงแต่ง  ได้แก่  เมล็ดธัญพืช  ผักสด  ผลไม้สด  ไข่ขาว  ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก  กินแต่เนื้อปลา  โดยนึ่งหรือต้ม  ไม่ควรทอด  เพราะจะมีไขมันมาก  ไม่กินอาหารกระป๋อง  เพราะต้องผ่านขบวนการปรุงแต่ง  ทำให้เสียคุณค่าอาหาร  ไม่นอนอยู่ใกล้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  โดยอย่าให้มีเครื่องทีวี  วิทยุ  เครื่องคอมพิวเตอร์  และตู้เย็นในห้องนอน  ออกกำลังกาย  ทำกายภาพบำบัด  เพื่อไม่ไห้กล้ามเนื้อลีบ  ก็อาจหายจากโรคปวดข้อเรื้อรังและไม่มีความพิการของแขนขาข้างที่ปวดข้อได้โดยปกติ

บ้านคนรักสุนทราภรณ์